นายสำเร็จ วจนะเสถียร หัวหน้าคณะผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด เสนอแนะรัฐบาลควรพิจารณาการพัฒนาระบบ Public Blockchain หรือบล็อกเชนสาธารณะของประเทศไทย แทนการพึ่งพา Ethereum หรือเทคโนโลยีบล็อกเชนจากต่างประเทศ เพื่อความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีและความมั่นคงทางข้อมูล รวมถึงสอดรับกับการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน Data Center และ Off-chain Storage ที่จะช่วยลดต้นทุนลงได้ในระยะยาว
นายสำเร็จ วจนะเสถียร กล่าวว่า “รัฐบาลควรพิจารณาการสร้าง Public Blockchain ของประเทศไทย โดยการมีบล็อกเชนของประเทศเองจะช่วยให้รัฐบาลสามารถควบคุมและกำหนดนโยบายได้ตรงตามเป้าหมาย โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจหรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบจากต่างประเทศ รวมถึงสามารถออกแบบระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายของประเทศไทย ทั้งด้านภาษี การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และความมั่นคง รวมถึงปรับแต่งฟีเจอร์ที่ต้องการได้ เช่น การจัดการค่าธรรมเนียมแบบอุดหนุนสำหรับประชาชนในการเข้าถึงบริการสาธารณะ
การออกแบบ Blockchain สำหรับรัฐบาล ควรมีความครอบคลุมทั้งในด้านการรองรับเทคโนโลยี Layer 2 (L2), การพัฒนา Custom EVM (Ethereum Virtual Machine), และการสนับสนุนการเชื่อมโยงกับเทคโนโลยี Blockchain อื่น ๆ เพื่อสร้างระบบที่มีความยืดหยุ่น ประหยัดต้นทุน และมีศักยภาพในการส่งออกเทคโนโลยีไปยังประเทศอื่น แนวทางนี้จะช่วยให้รัฐบาลกลายเป็นผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกและสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนในระยะยาว
และการเพิ่ม Opcode พิเศษเพื่อรองรับ ธุรกรรมส่วนตัว (Private Transactions) สำหรับการใช้งานที่ต้องการความลับ, สร้างระบบที่รองรับ Off-chain Computation โดยตรง เช่น การใช้ Oracle หรือการประมวลผลนอกเครือข่าย, เพิ่มการรองรับการบูรณาการกับ Identity Management Systems เช่น DID (Decentralized Identity)
การพัฒนา Layer2 ยังสนับสนุนการพัฒนา Data Center ของประเทศ เนื่องจากเป็นการใช้ Layer 2 และระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ Off-chain ที่จะช่วยลดความต้องการในเรื่องของฮาร์ดแวร์ พื้นที่จัดเก็บ และพลังงานไฟฟ้าอีกด้วย นอกจากนี้ การพัฒนา Layer 2 บนบล็อกเชนของประเทศ เช่น Optimistic หรือ ZK-Rollup จะช่วยลดต้นทุนค่าธรรมเนียมธุรกรรมได้ถึง 90-99% เมื่อเทียบกับการทำธุรกรรมบน Layer 1 โดยสามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการ เช่น งานทะเบียนราษฎร์ การออกใบอนุญาต หรือการตรวจสอบข้อมูลเพื่ออนุมัติงบประมาณ ซึ่งโดยรวมแล้ว Layer2 จะช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศได้อย่างมาก”
ทั้งนี้ Public Blockchain จะใช้เทคโนโลยี Zero-Knowledge Proof และ Multi-party Computation ในการตรวจสอบความถูกต้องโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลที่อ่อนไหว พร้อมจัดเก็บข้อมูลในพื้นที่เข้ารหัสภายในประเทศ ลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลและการพึ่งพาระบบ Cloud จากต่างประเทศ ซึ่งช่วยส่งเสริมการคุ้มครองข้อมูลด้านความมั่นคงและการทหาร
นอกจากนี้ ระบบบล็อกเชนแห่งชาติควรออกแบบเพื่อรองรับกับมาตรฐาน WASM หรือ IBC เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาค เมื่อได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย มีต้นทุนต่ำ และคุ้มครองข้อมูลได้ดี ก็มีโอกาสส่งออกเทคโนโลยีและกำหนดมาตรฐานกลางที่ประเทศอื่น ๆ ยอมรับ เพื่อช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาคอีกด้วย