ระบบอัตโนมัติด้านค้าปลีกช่วยลดปัญหาขยะอาหารในไทย

ขยะอาหารเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า ขยะในไทยกว่า 60% เป็นขยะอาหาร โดยเมื่อปี 2565 มีขยะอาหารในไทยราว 17 ล้านตัน จากการเน่าเสียและร่วงหล่นในซัพพลายเชน รวมถึงขยะจากผู้ค้าปลีก ร้านอาหาร และผู้บริโภค ตัวเลขดังกล่าวเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องหันมาสนใจปัญหาขยะอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการรีไซเคิลสามารถทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในกรุงเทพทหานครมีขยะอาหารเพียงราว 2% เท่านั้นที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ส่วนที่เหลือถูกนำไปฝังกลบอย่างไม่ถูกต้องตามหลักสุขอนามัยดังนั้นขยะอาหารจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านี้ก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อจำนวนสินค้าคงคลังมากเกินความต้องการ ผู้ค้าปลีกก็มักประสบปัญหาในด้านการจัดการขยะ โดยเฉพาะอาหารสด เป็นเหตุให้ต้องนำมาลดราคาหรือปล่อยทิ้งให้เน่าเสียในที่สุด โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เปิดเผยว่า การผลิตและบริโภคอาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดการสูญเสียของธรรมชาติ ระบบจัดการอาหารที่แยกส่วนกันและยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลักก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่ขยะอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังงานและน้ำที่ใช้ในขั้นตอนการผลิตอาหาร การเก็บเกี่ยว การขนส่ง และการบรรจุ กรมควบคุมมลพิษได้วางแผนงานที่จะลดอัตราส่วนของขยะอาหารในขยะมูลฝอยชุมชนจาก 39% ให้เหลือต่ำกว่า 28% ภายในปี 2570 โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคเป็นหลัก

จากปัญหาดังกล่าว อนนิ โรติโอะ ผู้อำนวยการฝ่ายขายของรีเล็กซ์ โซลูชันส์ กล่าวว่า “ขยะอาหารเป็นปัญหาสำคัญที่จะสามารถแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อได้รับความร่วมมือจากผู้คนทุกฝ่าย นับตั้งแต่การสั่งอาหารมาบริโภคในปริมาณพอดีเพื่อลดปริมาณขยะ ไปจนกระทั่งถึงผู้ค้าปลีกยังสามารถใช้ระบบอัตโนมัติด้านค้าปลีกเพื่อช่วยลดปัญหาขยะอาหารในไทยได้อย่างเห็นผลชัดเจน อีกทั้งระบบอัตโนมัติยังทำให้กระบวนการสินค้าคงคลังทุกส่วนลื่นไหล เพิ่มประสิทธิภาพในขั้นตอนการสั่งซื้อ และลดภาระการจัดการโดยมนุษย์ ทำให้ได้ระบบค้าปลีกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ระบบอัตโนมัติยังช่วยลดปริมาณอาหารส่วนเกินได้ก่อนที่จะกลายเป็นของเสีย โดยการลดอาหารล้นสต็อกและคาดการณ์ความต้องการได้อย่างแม่นยำ”

กลยุทธ์การจัดการขยะอาหารที่มีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญในการลดผลกระทบด้านต่างๆ และระบบอัตโนมัติด้านค้าปลีกก็ช่วยลดขยะอาหารได้ในหลายด้าน โดยมีคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้

  • คุณสมบัติการคาดการณ์ความต้องการ ช่วยให้ผู้ค้าปลีกประเมินความต้องการของลูกค้าและปรับระดับสินค้าคงคลังได้เหมาะสมและสอดคล้องตามความต้องการของผู้บริโภค เช่น คาดการณ์ความผันผวนของความต้องการ ลดปัญหาสินค้าล้นสต็อก ลดจำนวนอาหารเหลือทิ้งและเน่าเสีย โดยทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและความสามารถของแมชชีนเลิร์นนิง ซึ่งนำไปสู่การลดขยะอาหารได้ในที่สุด
  • คุณสมบัติการติดตามวันหมดอายุโดยอัตโนมัติ ช่วยปรับปรุงการบริหารจัดการสินค้าคงคลังโดยเฉพาะในเรื่องการหมุนเวียนสต็อกสินค้า ตลอดจนการติดตามและจัดการอายุการเก็บรักษาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะสินค้าล้นสต็อก ทั้งยังป้องกันสินค้าหมดอายุไม่ให้เน่าเสียอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องจัดการด้วยพนักงาน และให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อใช้ในการตัดสินใจด้านการลดขยะอาหารและปรับปรุงการหมุนเวียนสินค้า
  • ระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลังอัจฉริยะ มาพร้อมระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อสินค้าคงคลังอยู่ในระดับต่ำ เกิดการล่าช้าในการจัดส่ง หรือเกิดภาวะสินค้าล้นสต็อก นอกจากนี้ ยังคอยติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าคงคลังเพื่อค้นหารายการสินค้าที่จำหน่ายยากหรือเก่าเก็บ โดยทั้งหมดทำได้ผ่านซอฟต์แวร์ระบบติดตามอัตโนมัติที่ช่วยคงสถานะสินค้าคงคลังแบบ JIT (Just In Time / แบบทันเวลาพอดี) ได้ตามที่ต้องการ ที่สำคัญกลยุทธ์การจัดหาสินค้าที่มีข้อมูลเข้ามาช่วยในการตัดสินใจจะช่วยลดความเสี่ยงสินค้าล้นสต็อก นำไปสู่การลดปัญหาสินค้าเน่าเสียและหมดอายุได้ในที่สุด

เทคโนโลยีการวางแผนซัพพลายเชนขั้นสูงสามารถช่วยให้ผู้ค้าปลีกลดขยะอาหาร เพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ ปรับปรุงระบบสั่งซื้อของร้าน ติดตามสถานะสินค้าหมดอายุ โดยช่วยลดขยะอาหารได้10-40% โดยที่ยังคงรักษาผลกำไรและจำนวนสินค้าบนชั้นวางได้ในระดับเดิม รายงานล่าสุดจากรีเล็กซ์ โซลูชันส์ ระบุว่า เมื่อปีที่ผ่านมา การทำงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของบริษัทช่วยให้ลูกค้ากลุ่มค้าปลีกอาหารของรีเล็กซ์ทั่วโลกลดขยะอาหารได้กว่า 280 ล้านกิโลกรัม ในฝั่งซัพพลายเชน หรือคิดเป็น CO2 มากกว่า 950,000 เมตริกตัน อันเป็นผลจากการคาดการณ์ที่แม่นยำและการปรับปรุงสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

“การใช้โซลูชันระบบอัตโนมัติด้านค้าปลีกส่งผลดีหลายด้านต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากการลดขยะอาหารแล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานและปรับปรุงเส้นทางการขนส่ง ซึ่งสามารถปล่อยมลภาวะลดลง อีกทั้งผู้บริโภคชาวไทยเริ่มหันมาใส่ใจและเห็นความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น ทิศทางดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคสายกรีนในตลาดมีจำนวนเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ค้าปลีกก็ต้องปรับเปลี่ยนทั้งผลิตภัณฑ์และแนวทางการปฏิบัติให้สอดรับกับความต้องการดังกล่าวตามแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใส่ใจต่อความยั่งยืน ธุรกิจที่ขาดระบบอัตโนมัติอาจส่งผลต่อการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพและเผชิญกับความเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียรายได้อันเนื่องมาจากการขาดข้อมูลที่สำคัญในการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ที่สำคัญการปรับเปลี่ยนงานบางส่วนให้เป็นหน้าที่ของระบบอัตโนมัติ ช่วยให้พนักงานมีเวลาจัดการกับงานที่ให้มูลค่ามากกว่า และนำไปสู่การลดต้นทุนโดยรวมได้ในที่สุดด้วย” อนนิกล่าวสรุป