ETDA ชวนสำรวจ “SMEs ไทย พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล” แค่ไหน?

ในสนามการแข่งขันกีฬา ถ้าอยากรู้ว่านักกีฬาคนไหน ทีมไหน มีความพร้อมมากที่สุด เรามักพิสูจน์ได้จากรางวัลในสนามแข่ง แต่สำหรับ “ความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัล หรือ Digital Transformation” ขององค์กร หรือ บริษัท แล้ว เราวัดด้วยอะไร? เชื่อว่านี่คงเป็นประเด็นที่หลายคนกำลังสงสัย เพราะที่ผ่านมา ทั้งภาครัฐ เอกชน ต่างเร่งส่งเสริม สนับสนุนให้องค์กรทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งถือเป็นกลุ่มหลักๆ ที่ส่งผลต่อการสร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้นทางเศรษฐกิจและยังมีผลกับการขับเคลื่อน GDP ของประเทศ เพราะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในองค์กรจะช่วยยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานและการทำธุรกิจ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ พร้อมรองรับโลกอนาคตกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่า เครื่องมือที่หลายๆ ประเทศต่างนิยมนำมาใช้วัดความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลขององค์กร นั่นก็คือ “Digital Maturity Model” ซึ่งเป็นอีกเครื่องมือสำคัญ ที่เข้ามาช่วยทำให้เราสามารถทำความเข้าใจถึงสถานะความพร้อมของการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลขององค์กรในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะองค์กรไหนที่มี Digital Maturity อยู่ในระดับสูง จะมีโอกาสได้เปรียบทางการแข่งขัน ทั้งด้านการเติบโต และรายได้ มากกว่าองค์กรหรือบริษัทที่มี Digital Maturity ในระดับที่ต่ำกว่า

สำหรับประเทศไทยแล้ว ล่าสุด สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) ในฐานะหน่วยงานที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วน เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้ Concept ที่หลายคนต่างคุ้นชิน #ชีวิตดีเมื่อมีดิจิทัล ก็ได้นำเครื่องมือนี้ มาเป็นกรอบในการวัดสถานะความพร้อมด้านดิจิทัลของ SMEs ไทยทั่วประเทศ ผ่าน “การสำรวจสถานะการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME Digital Maturity Survey 2023” เพื่อสะท้อนถึงสถานะและระดับความพร้อมของการเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลของ SMEs ไทยในปัจจุบัน ซึ่งผลสำรวจมีข้อมูลที่น่าสนใจอย่างไรบ้าง ไปดูกัน

  • SMEs ไทย มีความพร้อมด้านดิจิทัล ในระดับ Digital Follower

จากการสำรวจสถานะการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลของ SMEs ในกลุ่มกิจการที่มีการสร้างมูลค่าสูงให้แก่เศรษฐกิจ (High Value Sector) ได้แก่ กลุ่มกิจการที่ขับเคลื่อน Digital GDP เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล ท่องเที่ยว การค้าดิจิทัล การบริการทางการเงิน บริการการศึกษา การบริการสุขภาพ เป็นต้น และกลุ่มกิจการภายใต้อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve จำนวน 1,725 บริษัท ทั่วประเทศ ผ่านกรอบการประเมินใน 5 มิติ ทั้งในมุมกลยุทธ์ (Strategy) โครงสร้างและระบบ (Structure and System) กระบวนการและการบริหารจัดการ (Process and Operation) บุคลากรและวัฒนธรรมองค์กร (Personal and Culture) และลูกค้า (Customer) พบว่า SMEs ไทยส่วนใหญ่ 44.81% มีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลในระดับปานกลาง (Digital Follower) มีความเข้าใจ สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้เหมาะสม แต่ยังขาดการบูรณาการด้านดิจิทัลภายในองค์กรอย่างทั่วถึง รองลงมา 31.30% มีความพร้อมในระดับสูง (Digital Native) มีความสามารถในการเข้าถึงและใช้เครื่องมือดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเป็นตัวช่วยในการบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานขององค์กร ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ลำดับต่อมา 20.47% เป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในระดับต่ำ (Digital Novice) ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจได้อย่างเต็มที่ และมีเพียง 3.42% เท่านั้นที่มีความพร้อมในระดับสูง (Digital Champion) ที่ถือเป็นกลุ่มผู้นำในการขับเคลื่อนด้านดิจิทัล รู้ทันการเปลี่ยนแปลง และสามารถตอบสนองได้ทันท่วงที มองเห็นลู่ทางใหม่ๆ ในการนำดิจิทัลต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่

โดย SMEs ที่มีรายได้สูง อย่าง Medium Enterprises และภาคการผลิต จะมีความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลมากที่สุด และส่วนงานที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากที่สุด 3 อันดับแรกคือ การตลาด รองลงมาคือ การเงินและบัญชี และการขาย หรือ Sales นั่นเอง

  • 6 ความท้าทาย กับดักของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่ไม่สำเร็จ

แม้วันนี้ SMEs ไทยส่วนใหญ่มีความพร้อมด้านดิจิทัล สามารถเข้าใจและปรับตัวได้เหมาะสม แต่ในมุมของการใช้งานก็ยังมีประสิทธิภาพไม่มากนัก เพราะจากผลสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ยังคงเผชิญกับ “กับดักความท้าทาย” ที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลเป็นไปได้อย่างไม่เต็มที่ โดยความท้าทายที่ว่า ได้แก่ 1. ขาดแคลนทักษะและความสามารถด้านดิจิทัล 62.72% เพราะพนักงานส่วนใหญ่ กว่า 67.86% มีระดับทักษะด้านดิจิทัลอยู่ในขั้นพื้นฐาน ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างง่ายได้ หรือเป็นการใช้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น 2. ต้องเจอกับต้นทุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่อยู่ในระดับสูงเกินไป กว่า 52.87% เนื่องจาก SMEs 87.08% ยังใช้ทุนส่วนตัวหรืองบประมาณของบริษัทในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีใหม่ในองค์กร ที่เหลือต้องเป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และขอสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ 3. ขาดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการในการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล 49.68% 4. ขาดแคลนเทคโนโลยีที่จำเป็นในการเปิดใช้งานเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล 42.03% 5. ความซับซ้อนของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล จนไม่สามารถตั้งต้นการดำเนินงานได้ 41.33% ความเห็นที่ไม่สอดคล้องกันภายในองค์กร 11.30%

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความท้าทายอื่นๆ ที่ SMEs เจอ เช่น ในมุมของภาษีที่มีอัตราสูงและโอกาสในการแข่งขันที่น้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ ตลอดจนประเด็นของความท้าทายที่ต้องใช้เงินทุนที่เพิ่มขึ้น หากต้องจัดหาทั้งในด้านอุปกรณ์ โปรแกรม รวมถึงการฝึกพัฒนาทักษะพนักงาน โดย SMEs ส่วนใหญ่ที่ใช้ดิจิทัล มองว่า เลือกใช้ดิจิทัลเพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มความสะดวกในการทำงานให้ดีขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งของ SME ที่ใช้งานดิจิทัลต่างก็มีความกังวลอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่องของความเสี่ยง เช่น ด้านข้อมูลขององค์กร ที่อาจเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล หรือนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เป็นต้น

  • “งบประมาณ-สิทธิประโยชน์จากการใช้ดิจิทัล” อยากให้สนับสนุนมากที่สุด

เมื่อถามว่า SMEs อยากให้ภาครัฐ เข้ามาสนับสนุนในประเด็นไหนมากที่สุด เพื่อกระตุ้นส่งเสริมให้พวกเขาสามารถเปลี่ยนผ่านทางด้านดิจิทัลเกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จากผลสำรวจนี้ พบว่า ประเด็นที่ SMEs อยากให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาสนับสนุนมากที่สุด คือ ด้านการเงินและงบประมาณ ต้องการมากถึง 63.30% รองลงมาคือ การให้สิทธิประโยชน์หลังการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลในองค์กร 48.41% การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากรในองค์กร 44.17% การจัดหาช่องทางในการเข้าถึงและเกิดการจับคู่ทางเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับองค์กร 35.36% การรับรองมาตรฐานทางเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการนำมาใช้ในองค์กร 25.10% การสร้างความเข้าใจในประเด็นด้านกฎหมาย และมาตรฐานด้านดิจิทัล 23.07% การให้คำปรึกษา แนะนำในกระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านดิจิทัลได้อย่างตรงจุด 19.71% และตัวอย่างการใช้งานที่เหมาะสมจาก Use case ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อให้เห็นแนวทางในการนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ 19.30%

  • เจาะอินไซต์ เทคโนโลยีด้านไหนที่ SMEs ไทยต้องการใช้

เมื่อเจาะลึกถึงความต้องการของ SMEs ว่า ประเภทเครื่องมือ เทคโนโลยี หรือบริการดิจิทัลด้านใดที่พวกเขาต้องการอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสนับสนุน และอยากนำมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยยกระดับการดำเนินงานของธุรกิจให้ดียิ่งขึ้นนั้น พบว่า เทคโนโลยีด้านบริการธุรกิจ (Business Services) คือสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดกว่า 33.86% โดยเฉพาะระบบการจัดการประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) เช่น การวิเคราะห์ความต้องการลูกค้า การจัดการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า รองลงมาคือ เทคโนโลยีด้านการเงิน 25.04% ด้าน e-Commerce 11.65% ด้าน Digital Content หรือ ไลฟ์สไตล์ 10.84% และด้านอุตสาหกรรม 10.67% และที่สำคัญเทคโนโลยีเหล่านี้ จะต้องมีราคาที่ไม่สูงมากนัก เพื่อให้พวกเขานำมาใช้งานได้จริงด้วย

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลที่น่าสนใจ จากผลสำรวจ SME Digital Maturity Survey 2023 ของ ETDA ที่ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงระดับความพร้อมทางด้านดิจิทัลและความท้าทายที่ SMEs ไทยต่างต้องเผชิญเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและวิเคราะห์ Policy Framework ที่มุ่งเน้นให้เห็นถึงสถานการณ์การเปลี่ยนผ่านดิจิทัลและระดับการเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะช่วยสะท้อนเห็นถึงโอกาสที่หน่วยงานรัฐ หรือเอกชน ตลอดจนผู้ให้บริการด้านดิจิทัล จะเข้ามาช่วยสนับสนุน เร่งผลักดัน ทั้งการเพิ่มทักษะของบุคลากรให้สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรม การสร้างให้เกิดแรงจูงใจเพื่อการปรับตัวของ SMEs ในการนำเทคโนโลยีมาใช้งานมากขึ้น ตลอดจนการกำหนดทิศทางการส่งเสริมที่ตรงจุด รวมไปถึงการมีกิจกรรมที่จะช่วยเสริมความพร้อมให้กับ SMEs ไทย ให้ขยับอยู่ในระดับที่ดีขึ้นได้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในอนาคต

สำหรับใครที่ต้องการอ่านรายงานฉบับเต็ม สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ของ ETDA หรือที่ลิงก์ https://bit.ly/46fSQOe ติดตามความเคลื่อนไหวและข้อมูลดีๆ ได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก ETDA Thailand

ที่มา: เจซีแอนด์โค คอมมิวนิเคชั่นส์