บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เผยถึงเทรนด์อุตสาหกรรมอัจฉริยะในยุคแห่งการเชื่อมต่อ โดยชี้ให้เห็นถึงองค์ประกอบการเปลี่ยนแปลงสำคัญ 4 ด้านหลักที่จะเกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ รูปแบบการบริการ โครงสร้างพื้นฐาน ทักษะของบุคลากร และด้านระบบนิเวศของอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยหัวเว่ยจะเร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยบนเส้นทางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลด้วยกลยุทธ์ GUIDE ซึ่งตั้งอยู่บนแพลตฟอร์มอัจฉริยะบนพื้นฐานของเทคโนโลยี 5G คลาวด์ บิ๊กดาต้า และ ปัญญาประดิษฐ์
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้กล่าวเปิดงานและปาฐกถาในหัวข้อ “Unlocking Thai Industries By Optimizing IIOT towards Industry 4.0 Era” ว่า “เอสเอ็มอีกว่า 70% ยังคงอยู่ใน industry 2.0 ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตในภาคอุตสาหกรรมยังไม่ดีเท่าที่ควร สภาอุตสาหกรรมจึงผลักดันให้ทุกหน่วยงานเร่งยกระดับประสิทธิภาพทางการผลิตให้สูงขึ้น ด้วยการทำ industry transformation โดยเน้นการเชื่อมโยงเทคโนโลยี AI และ IoT เข้าด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการสร้าง industrial ecosystem ให้เกิดการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยเหลือผู้ประกอบการ”
ดร.ชวพล จริยวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงเทรนด์สำคัญในด้านอุตสาหกรรมอัจฉริยะที่ควรจับตามอง ภายในงานสัมมนา “Industrial IoT Solution Expo 2022” ซึ่งจัดขึ้นโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยว่า “ปัจจุบัน เรากำลังมุ่งสู่ยุคแห่ง 5G และ IoT ซึ่งจะพลิกประสบการณ์การใช้งานในกลุ่มประชาชนทั่วไป รวมถึงการประยุกต์ใช้งานในภาคอุตสาหกรรม และมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะหรือ “อุตสาหกรรม 4.0″ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของแพลตฟอร์มการเชื่อมต่ออัจฉริยะ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G การประมวลผลบนคลาวด์ รวมถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้าด้วยกัน”
ดร.ชวพล ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในด้านการบริการของอุตสาหกรรม 4.0 จะเป็นการส่งมอบรูปแบบการบริการที่เท่าเทียมและสามารถเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศ ในด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาคอุตสาหกรรมจะผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้งานมากขึ้น ช่วยรองรับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ส่วนในด้านทักษะของบุคลากรจะต้องได้รับการยกระดับองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี 5G ปัญญาประดิษฐ์ บิ๊กดาต้า และคลาวด์ เพื่อรองรับอุปสงค์ของตลาด นอกจากนี้ ในระบบนิเวศของภาคอุตสาหกรรมจะมีความเปิดกว้าง เท่าเทียม และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
“การเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมในรูปแบบปัจจุบันไปสู่ภาคอุตสาหกรรมอัจฉริยะ จะทำให้เกิดประโยชน์ที่จับต้องได้ทั้งด้านการลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเราสามารถเห็นตัวอย่างของอุตสาหกรรมอัจฉริยะได้จากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในภาคอุตสาหกรรมเหมืองและอุตสาหกรรมท่าเรือของประเทศจีน ส่วนในประเทศไทยซึ่งถือเป็นผู้นำด้านการประยุกต์ใช้ 5G ในภูมิภาคอาเซียนอยู่แล้ว ซึ่งได้เริ่มใช้ไปแล้วในหลายภาคส่วนได้แก่ สถานีรถไฟอัจฉริยะ 5G ในกรุงเทพฯ เขตพื้นที่อัจฉริยะ 5G ในเชียงใหม่ การเกษตรอัจฉริยะ 5G ในเชียงราย รวมไปถึงท่าเรืออัจฉริยะ 5G ที่ชลบุรี เป็นต้น” ดร.ชวพล กล่าวเสริม
ทั้งนี้ หัวเว่ยพร้อมสนับสนุนการมุ่งสู่ภาคอุตสาหกรรมอัจฉริยะในประเทศไทยด้วยกลยุทธ์ GUIDE ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนแพลตฟอร์มการเชื่อมต่ออัจฉริยะ เพื่อช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้แก่ไทย และผลักดันศักยภาพในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะประกอบด้วย
- โครงการประเภท Gigaverse Initiative เพื่อส่งมอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการส่งต่อข้อมูลที่มากระดับกิกะบิต
- ระบบการทำงานอัตโนมัติความเร็วสูง Ultra-Automation เพื่อส่งมอบกระบวนการทำงานแบบดิจิทัลที่คล่องตัวมากขึ้น
- การส่งมอบ Intelligent Computer & Network ในรูปแบบการบริการ ทำให้เกิดเครือข่ายและการประมวลผลดิจิทัลที่ยืดหยุ่น ปรับตัวได้
- การส่งมอบประสบการณ์แบบ Differentiated Experience ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างอุตสาหกรรมดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ
- การเน้นเรื่อง ESG (Environmental, Social, and Corporate Governance) เพื่อเพิ่มจำนวนบิตและลดการใช้พลังงาน เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน
หัวเว่ยเป็นพาร์ทเนอร์ด้านไอซีทีชั้นนำระดับโลกและร่วมสนับสนุนคุณค่าทางสังคมในประเทศไทยมานานกว่า 23 ปี โดยหัวเว่ยจะมุ่งมั่นสานต่อพันธกิจ ‘เติบโตในประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย’ และจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยอัจฉริยะที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ
ที่มา: คาร์ลบายร์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์