หัวเว่ย จับมือ มหาวิทยาลัยนครพนม มุ่งสู่ Smart University พร้อมบ่มเพาะบุคลากรด้านไอซีที

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อความร่วมมือในการพัฒนาความสามารถด้านไอซีที กับมหาวิทยาลัยนครพนม โดยการลงนามครั้งนี้สอดคล้องกับความคิดริเริ่มในระดับสากลของหัวเว่ย ที่ต้องการบ่มเพาะผู้ที่มีความสามารถหน้าใหม่ในอุตสาหกรรมไอซีที และช่วยเตรียมความพร้อมให้สถาบันการศึกษาทั่วประเทศมุ่งสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน

ในฐานะที่เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างอุตสาหกรรมไอซีทีกับภาคการศึกษา พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ได้จัดขึ้นที่จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2565 โดยมี ดร. พรหมสวัสดิ์ ทิพย์คงคา รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยนครพนม และนายจัสติน ฟ่าน รองประธานอาวุโสฝ่ายการจัดจำหน่ายโซลูชันและการตลาด กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ร่วมลงนาม และมีศาสตราจารย์ ดร. กระแส ชนะวงศ์ นายกสภามหาวิทยาลัยนครพนม รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของมหาวิทยาลัยท่านอื่น ๆ ร่วมเป็นสักขีพยาน

ภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ หัวเว่ยจะให้คำปรึกษาแก่มหาวิทยาลัยนครพนม รวมถึงสนับสนุนความรู้ความเชี่ยวชาญ หลักสูตรที่มีคุณภาพ ตลอดจนสื่อการเรียนการสอน ซึ่งจะสามารถช่วยคณาจารย์ส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้แก่บรรดานักศึกษาของมหาวิทยาลัย และด้วยการใช้เทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม อาทิ บิ๊กดาต้าและบริการคลาวด์ หัวเว่ยจะช่วยทรานสฟอร์มมหาวิทยาลัยนครพนมให้ก้าวไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ หรือ Smart University เพื่อช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน ยกระดับการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ และช่วยบ่มเพาะเหล่านักศึกษาให้พร้อมต่อการเป็นบุคลากรที่เพียบพร้อมด้วยทักษะอุตสาหกรรมสำหรับการก้าวไปสู่โลกแห่งการทำงาน ทั้งนี้ ในความร่วมมือกับหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ และสมาคมบุคลากรด้านไอซีที (ICT Talent Alliance) นักศึกษาของมหาวิทยาลัยนครพนมจะได้รับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติจากผู้ฝึกสอนจากโครงการ Huawei ICT Academy และจะได้รับการรับรองจากหัวเว่ย ซึ่งจะทำให้สามารถเริ่มต้นก้าวสู่โลกแห่งการทำงานได้โดยทันที นอกจากนี้ นักศึกษายังจะสามารถเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น โครงการ Huawei ICT Competition และ Huawei ICT Job Fair ได้อีกด้วย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหัวเว่ยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยชั้นนำของไทยหลายแห่ง เพื่อช่วยสร้างระบบนิเวศด้านบุคลากรที่แข็งแกร่งและขยายการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีดิจิทัลไปทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยนครพนมกำลังจะเข้าร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำต่าง ๆ ที่ได้บรรลุข้อตกลงเป็นพันธมิตรกับหัวเว่ย โดยหัวเว่ยมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยให้นิสิตนักศึกษาสามารถขยายความรู้ด้านไอซีที กระตุ้นความสนใจที่จะเรียนรู้และความสามารถด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรม ตลอดจนปรับปรุงความสามารถในการเรียนรู้และการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

ในระหว่างพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจ ดร. พรหมสวัสดิ์ ทิพย์คงคา รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยนครพนม มีนโยบายการพัฒนาสู่การเป็น SMART University ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายจังหวัดนครพนมที่จะเป็น SMART CITY ดังนั้นการร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มทักษะด้านไอทีแก่นักศึกษาและบุคลากร ได้บูรณาการนวัตกรรมสมัยใหม่ ให้พร้อมสำหรับการปรับสู่โลกอนาคต ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาห้องเรียนอัจฉริยะ การเก็บข้อมูลด้วยคลาวด์ การสร้าง Big Data และปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะช่วยกันผลักดันและสร้างแนวคิดการมีโซลูชันต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ภายใต้ MoU ฉบับนี้มีขอบเขตระยะเวลา 1 ปีในการทำงานร่วมกัน โดยจะมีการพัฒนาบุคลากรและนักศึกษาด้านไอที ส่งเสริมการฝึกงาน และต่อยอดการทำงานระหว่าง 2 สถาบันในอนาคตต่อไป ผมขอขอบคุณหัวเว่ยเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเข้ามาช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยนครพนมก้าวสู่การเป็น Smart University อย่างเต็มรูปแบบ”

นายจัสติน ฟ่าน รองประธานอาวุโสฝ่ายการจัดจำหน่ายโซลูชันและการตลาด กลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ผมขอขอบคุณสำหรับโอกาสที่ให้หัวเว่ยได้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสู่การเป็นมหาวิทยาลัยอัจฉริยะ รวมถึงการเป็นผู้นำด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะโดยมีเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อน” พร้อมเสริมว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนช่วยมหาวิทยาลัยนครพนม สำรวจและใช้ประโยชน์จากโซลูชันเชิงนวัตกรรมที่รวดเร็วและเชื่อถือได้มากขึ้น เพราะสิ่งนี้การเรียนรู้จึงไม่มีวันหยุดนิ่ง อีกทั้งยังสามารถผลิตบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมไอซีทีได้อีกด้วย และด้วยความเชื่อมั่นที่ว่าไอซีทีเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนา หัวเว่ยจึงมุ่งมั่นช่วยเหลือสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศในการเตรียมบ่มเพาะเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ อันจะนำไปสู่การสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยให้เป็นไปได้อย่างแท้จริง”

ที่มา: แฟรนคอม เอเซีย