หัวเว่ยหนุนภาคการศึกษายกระดับโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมเผยโฉม “AirEngine Wi-Fi 7” โซลูชันเน็ตเวิร์คไร้สายมาตรฐานล่าสุดสำหรับองค์กรที่ให้ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูงสุด พร้อมแบนด์วิธที่กว้างขึ้น ตอบโจทย์การเรียนการสอนยุคอัจฉริยะ เช่น เมตาเวิร์ส และการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยีเออาร์/วีอาร์
นายเชลดอน หวัง รองประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เผยในโอกาสร่วมงานประชุมวิชาการระหว่างประเทศของกลุ่มสมาชิกเครือข่าย Asia-Pacific Advance Network (57th APAN Meeting) ว่า แนวโน้มของเทคโนโลยีในภาคการศึกษากำลังเปลี่ยนแปลงจากการนำดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้งานเฉพาะบางส่วนสู่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดให้รองรับการทำงานแบบอัจฉริยะ ซึ่งหัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์เทคโนโลยีไอซีทีที่หลอมรวมไอซีทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการเชื่อมต่อ การประมวลผลบนคลาวด์ บิ๊กดาต้า และปัญญาประดิษฐ์เข้ากับกระบวนการการศึกษาทั้งหมด เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมในการเรียนการสอน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การจัดการ และบริการ
นอกจากนี้เทคโนโลยีของหัวเว่ยได้ผนวกรวมเครือข่ายแบบใช้สาย ไร้สาย สำนักงาน และเครือข่าย IoT เข้ากับเทคโนโลยีต่างๆ เช่น เครือข่ายออพติคและไว-ไฟ 7 เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายในสถานศึกษาและการวิจัย และอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะที่ปลอดภัย เสถียร และมั่นคง ซึ่งช่วยปรับปรุงความสามารถในการรองรับระบบบริการตลอดจนประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการสอนและการเรียนรู้ได้เปลี่ยนจากการใช้กระดานดำแบบเดิมๆ มาเป็นเครื่องมือมัลติมีเดีย จากการเรียนรู้ในสถานที่ตายตัวเป็นปัจจุบันทุกที่ทุกเวลา และจากการบรรยายเพียงอย่างเดียวเป็นการเรียนรู้ที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องแก้ปัญหางานด้านการประมวลผลและการวิเคราะห์ที่ซับซ้อน และต้องอาศัยเทคโนโลยี เช่น การประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) การวิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพสูง (HPDA) บิ๊กดาต้า และปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น
พร้อมเผยว่า หัวเว่ยได้เตรียมพร้อมนำเสนอความรู้และความเชี่ยวชาญจากการทำงานในอุตสาหกรรมระดับโลกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีซึ่งบริษัทมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลของภาคการศึกษา พร้อมด้วยโซลูชันสำคัญอย่าง “อินเทลลิเจนท์ เอ็ดดูเคชัน” ที่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การสร้างสภาพแวดล้อมของสถานศึกษาและห้องเรียนให้มีความอัจฉริยะสามารถเรียนรู้ได้แบบสมจริง และส่งเสริมการพัฒนาทักษะได้ดียิ่งขึ้น
รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง “ไว-ไฟ 7” เข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถของการศึกษาด้วยมาตรฐานของเทคโนโลยีไร้สายใหม่ที่มีช่องสัญญาณกว้างขึ้น อัตราการดีเลย์ต่ำ
ในโอกาสนี้ หัวเว่ยยังได้จัดเวทีพิเศษ “Thailand Medical Research HPDA Infrastructure Innovation Panel” เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานนำทางการด้านการแพทย์และการวิจัยทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลศิริราช ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติและโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ แนวทางการเตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ โดยโซลูชัน HPDA การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของหัวเว่ยนำการออกแบบที่รองรับการทำงานขั้นสูงมาใช้ ทั้งในแง่ของความจุและประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อประหยัดพื้นที่ห้องอุปกรณ์ได้อย่างมาก ส่งผลให้ต้นทุนรวม (TCO) ลดลง
คุณประยุทธ ตั้งสงบ หัวหน้าคณะผู้บริหารฝ่ายเทคโนโลยีกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ หัวเว่ย ประเทศไทย ผู้บริหารและบุคลากรสำคัญจากหน่วยงานชั้นนำทางการด้านการแพทย์และการวิจัยทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่น โรงพยาบาลศิริราช ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติและโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร
ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยว่า เทคโนโลยีบางอย่างเกิดขึ้นมาช่วงที่มี โควิด ซึ่งเราไม่ได้มีการเตรียมตั้งรับมาก่อนทำให้เกิดเป็นนวัตกรรม เช่น การใช้หูฟังตรวจคนไข้ผ่านบลูทูธเพื่อลดความเสี่ยงในการใกล้ชิดกับคนไข้ ซึ่งหลายๆอย่างก็ค่อยเริ่มพัฒนาและสร้างความร่วมมือกัน
ขณะที่ ผศ.อนุพล พาณิชย์โชติ ผู้จัดการโครงการปัญญาประดิษฐ์ด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ดาต้าที่ดีจะนำไปสู่การทำเอไอ และบิ๊กดาต้าที่ดี ดังนั้นข้อมูลที่ได้มาต้องเก็บแบบที่สามารถนำไปใช้ในเชิงปฏิบัติได้ ซึ่งตอนนี้เราเก็บ EMR ทั้งรูปภาพและวิดีโอ แผนการในปีนี้คือ นำข้อมูลรูปภาพทางการแพทย์ที่เก็บแบบกระจัดกระจายตอนนี้มาจัดเก็บให้ดีขึ้น ซึ่งเรามุ่งหวังว่าข้อมูลที่มีระดับการเก็บที่ดีขึ้นก็น่าจะนำไปสู่การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ดีขึ้น
ศาสตราจารย์นายแพทย์มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์แม่นยำ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า จุดแข็งของไทยในอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร คือการให้บริการการแพทย์ ดูแลรักษาและป้องกัน ถ้าเราต่อยอดจุดแข็งของการเป็นผู้นำในด้านบริการ คือทำอย่างไรให้บริการของเราทำได้ดียิ่งขึ้น ใช้เทคโนโลยีเพื่อดูแลรักษาโรคซับซ้อน เราต้องหาความโดดเด่นของไทยให้เจอ อย่างน้อยในด้านการแพทย์แม่นยำคือ เรามีฐานข้อมูลพันธุกรรมของคนไทยขนาดใหญ่ ซึ่งมีความจำเพาะกับคนในภูมิภาคนี้ ข้อมูลนี้นอกจากใช้ได้กับคนไทย ยังสามารถต่อยอดกับประชากรในเขต CLMV ได้ด้วย และการบูรณาการเพื่อเชื่อมข้อมูลพันธุกรรมเข้ากับข้อมูลสุขภาพจะยิ่งสร้างความแตกต่างของการบริการทางการแพทย์เราได้มากยิ่งขึ้น
รศ.นพ.ประเสริฐ ตรีวิจิตรศิลป์ รองอธิการบดีฝ่ายการแพทย์และเทคโนโลยีสุขภาพ โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร เสริมว่า ความท้าทายสำคัญขณะนี้คือการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันของคณะแพทย์หรือแม้แต่คณะต่างๆ เอง เพื่อเกิดเป็นฐานข้อมูลสำคัญในอนาคต ซึ่งโรงพยาบาลของเรากำลังทำเรื่องของ Aging และ Telehealth ที่มีการนำอุปกรณ์ Wearable รวมถึงเอไอเข้ามาปรับใช้ แต่สิ่งสำคัญคือการร่วมมือกันของหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์และนำไปสู่เทคโนโลยีเพื่ออนาคตได้
พร้อมกันนี้ หัวเว่ยยังได้เข้าร่วมนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการศึกษาภายในงาน APAN 57 ซึ่งจัดขึ้นในช่วงวันที่ 29 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2567 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิด “Leading Infrastructure to Accelerate Education Intelligence” เพื่อมุ่งเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่จะช่วยสนับสนุนการศึกษายุคใหม่ โดยได้นำเสนอโซลูชันไฮไลต์เพื่อสนับสนุนการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานเครือข่ายไร้สายล่าสุด ซึ่ง Huawei Air-Engine Wi-Fi 7 ที่ให้แบนด์วิธสูง พร้อมรองรับการทำ e-classroom ที่สามารถใช้ภาพและเสียงได้อย่างคมชัดระดับเอชดีและการเรียนการสอนออนไลน์ที่สมจริงและสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ดีกว่าเดิม รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อรากฐานที่แข็งแกร่งพร้อมรองรับการเรียนการสอนยุคใหม่อย่าง Converged Campus Network และ Scientific Research HPDA ซึ่งมีจุดเด่นของขีดความสามารถในการประมวลผลขั้นสุด ประหยัดพลังงานและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงแผนการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบบองค์รวมภายใต้ Digital Talent Ecosystem ซึ่งมีเป้าหมายในการสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะด้านไอซีทีให้เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมให้ได้ 50,000 คน ภายในปี 2570