LINE Ads เดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาสุดปัง! เผยเทรนด์การใช้งานปี 66 ธุรกิจท่องเที่ยว ยานยนต์ ความงาม เติบโตสูงสุด

LINE for Business ตอกย้ำผู้นำแพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจของคนไทย โชว์ศักยภาพเครื่องมือโฆษณา     LINE Ads เผยเทรนด์การใช้งานปี 66 สะท้อนความสำเร็จแพลตฟอร์มที่ใช่เคียงข้างธุรกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาต่อเนื่อง ดันประสิทธิภาพโฆษณาสู่ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่าเดิม

LINE เป็นแพลตฟอร์มเพื่อการสื่อสารยอดนิยมของคนไทย ด้วยตัวเลยผู้ใช้ 54 ล้านคนในปัจจุบัน และเวลาการใช้งานเฉลี่ยต่อคนบน LINE ถึง 90 นาที จึงทำให้กลายเป็นแพลตฟอร์มทรงพลังสำหรับธุรกิจที่ใช้ในการเข้าถึงลูกค้า      ผ่านเครื่องมือโฆษณา LINE Ads ที่กระจายอยู่บนพื้นที่ศักยภาพมากถึง 6 ตำแหน่ง ได้แก่ หน้า HOME TAB หน้า CHAT LIST หน้า LINE VOOM หน้า LINE TODAY หน้า LINE WALLET และ หน้า LINE OpenChat

ในปีที่ผ่านมา LINE Ads ได้ปรับโฉมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพโฆษณาให้สร้างผลัพธ์ที่ดีขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง โดยมุ่งเน้นพัฒนาใน 3 ด้าน คือ (1) พัฒนา Machine Learning มุ่งทำให้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลทำงานได้เต็มศักยภาพ ส่งผลให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้นในราคาที่ถูกลง (2) พัฒนาฟังก์ชั่นการเลือกกลุ่มเป้าหมาย Persona Targeting ที่ละเอียดแม่นยำมากขึ้น ขยายการมองเห็นโฆษณาได้มากกว่าเดิม และ (3) พัฒนารูปแบบโฆษณาให้หลากหลายกว่าเดิม ช่วยดึงดูดให้ลูกค้าสนใจและจดจำ พร้อมตำแหน่งโฆษณาที่เข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่วงเวลา นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า โดยการพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ สะท้อนสู่ผลลัพธ์เชิงธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ คุ้มค่ายิ่งขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกลง ไม่ว่าจะเป็น CPM ลดลง 45% ต้นทุนต่อคลิกหรือ CPC ลดลง 40% ต้นทุนต่อการเพิ่มเพื่อนหรือ CPF ลดลง 18% และต้นทุนต่อการดูวิดีโอหรือ CPV ลดลง 57% โดยเปรียบเทียบข้อมูลในช่วงเดียวกันระหว่างปี 2022 กับ 2023

หากมองในด้านของการถูกนำไปใช้งาน LINE Ads ยังคงได้รับความนิยมใช้งานทั้งเพื่อการสร้างแบรนด์และการสร้างยอดขาย โดย 3 อันดับวัตถุประสงค์ที่แบรนด์นิยมใช้งานและเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ การเข้าชมเว็บไซต์ (Website Visit) การเพิ่มเพื่อน (Gain Friends) และการเข้าถึง (Reach) ตามลำดับ และที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งจากธุรกิจ คือ วัตถุประสงค์ใหม่ล่าสุด Smart Channel Custom ที่ปรากฏอยู่บนหน้ารายการแชทที่มาพร้อมกับการแสดงผลโฆษณาที่มีขนาดใหญ่ รองรับทั้งภาพนิ่ง และวีดีโอได้ ทำให้มีอัตราการใช้งานเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับวัตถุประสงค์อื่นในปีนี้ถึง 545% จาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหารเครื่องดื่ม ธุรกิจเครื่องสำอางค์ และธุรกิจยานยนต์ ตามลำดับ

สำหรับกลุ่มธุรกิจที่คาดการณ์ว่าจะมียอดการลงทุนบน LINE Ads เติบโตสูงสุด 3 อันดับแรกในปี 2566 นี้ ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว (Travel) ถือเป็นธุรกิจม้ามืดมาแรง ด้วยยอดคาดการณ์การลงทุนเติบโตสูงขึ้นถึง 455% โดยเป็นผลมาจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวและการเดินทางหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ประกอบกับความคุ้นชินของผู้บริโภคในการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์เข้าถึงบริการท่องเที่ยว เดินทางต่างๆ ตามมาด้วยธุรกิจยานยนต์ (Automotive) คาดการณ์การเติบโตสูงขึ้นถึง 122% เชื่อว่าเกิดจากการส่งเสริมการใช้งานรถไฟฟ้า (EV) และการออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ

มาอย่างคึกคัก ทำให้การแข่งขันในตลาดดุเดือด ทุกแบรนด์ต่างต้องการสร้างการรับรู้ให้สินค้าของตนมากที่สุด และอันดับ 3 คือ ธุรกิจด้านฟิตเนสและสถานเสริมความงาม (Fitness and Medical Service) ที่คาดการณ์การเติบโตสูงขึ้น 113% และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในด้านความสนใจของผู้บริโภค โฆษณาบน LINE Ads ที่ดึงดูดผู้บริโภคมากที่สุด คือ กลุ่มสื่อและบันเทิง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ครองความสนใจของผู้บริโภคมาอย่างยาวนานในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าปีนี้จะมีผล CTR สูงถึง 0.70% ตามด้วยกลุ่มยานยนต์ 0.60% และกลุ่มช้อปปิ้ง 0.55% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การวัดผลการทำโฆษณาบน LINE Ads อาจปรับเปลี่ยนไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และกลุ่มเป้าหมายของแต่ละแคมเปญที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน

เมื่อโฆษณาออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ธุรกิจต้องมีควบคู่ไปกับการเปิดร้านออนไลน์ การเลือกแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพสูง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญ LINE Ads สามารถตอบโจทย์ให้กับธุรกิจได้ครบถ้วนทั้งในด้านปริมาณด้วยการเข้าถึงผู้ใช้งานกว่า 54 ล้านคน และด้านคุณภาพด้วยกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียดหลากหลาย จึงถือเป็นคำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จในการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจในยุคนี้ได้อย่างสมบูรณ์

ผู้สนใจสามารถดูข้อมูล LINE Ads เพิ่มเติมได้ที่ https://lineforbusiness.com/th/service/line-ads หรือติดต่อเอเจนซี่ที่ดูแลแบรนด์ของท่านได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือเลือกติดต่อพันธมิตรเอเจนซี่ของ LINE ได้ที่ https://lineforbusiness.com/th/partner

ที่มา: ไอเดีย เวิร์คส์ คอมมิวนิเคชั่นส์