เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัว Project Frontier ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มเพื่อการบริหารจัดการระบบเอดจ์ปลายทาง (edge) ที่ได้รับการบูรณาการเข้ากับสายผลิตภัณฑ์อุปกรณ์เอดจ์ของเดลล์ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการและประสานแอปพลิเคชันเอดจ์และโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเพื่อการนำไปใช้งานในสเกลการทำงานระดับโลก
ทั้งนี้ ความซับซ้อนของการบริหารจัดการเอดจ์ ในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จนถึงร้านค้าต่างๆ หรือกระทั่งกังหันลมในพื้นที่ห่างไกลกำลังทวีจำนวนมากขึ้นเนื่องจากมีองค์กรธุรกิจเป็นจำนวนมากที่ต้องการจัดการและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นทาง หากแต่ยังได้รับการสนับสนุนทางด้านไอทีที่จำกัดในการดำเนินการดังกล่าว จากการสำรวจของไอดีซีในปี 2022 พบว่า 42% ของธุรกิจ กล่าวว่าสิ่งที่เป็นความท้าทายอย่างที่สุดของการนำเอดจ์มาใช้งานคือการนำเอาโซลูชันเอดจ์ทั้งหมดมาทำงานร่วมกัน ด้วยปริมาณข้อมูลที่เกิดขึ้นที่จะเติบโตถึง 9 เท่าต่อปี อีกทั้งมีการคาดว่าปริมาณของข้อมูลเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นถึง 221 เอ็กซาไบต์ภายในปี 2026 องค์กรธุกิจต่างๆ จึงต้องการวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการจัดการและรักษาความปลอดภัยระบบนิเวศที่หลากหลายของเทคโนโลยีเอดจ์
“เรามองเห็นการเติบโตแบบทวีคูณของแอปพลิเคชันที่ทำงานที่เอดจ์ ซึ่งทำให้เอดจ์กลายเป็นเขตแดน (frontier) ถัดไปของการปฏิรูปทางธุรกิจ ที่ซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ โครงสร้างพื้นฐาน และข้อมูลจะถูกนำมาทำงานร่วมกันเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ในวงกว้าง” ฐิตพล บุญประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว “ด้วยการเติบโตนี้ ความซับซ้อนจึงเกิดขึ้น ที่สำคัญ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่องค์กรจะมีพนักงานด้านไอทีประจำอยู่ในทุกพื้นที่ที่มีเอดจ์ ประสบการณ์ด้านเอดจ์ที่เรามีมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ เมื่อนำมารวมเข้ากับโซลูชันใหม่ของเราช่วยให้ลูกค้าสามารถลดความซับซ้อนของระบบเอดจ์ที่ปลายทาง และปรับปรุงข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกได้ตั้งแต่ความปลอดภัยของโรงงาน ไปจนถึงความรวดเร็วและความแม่นยำในการดูแลผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล ในขณะที่ให้ทางเลือกมากขึ้นว่าจะใช้เทคโนโลยีด้านเอดจ์และมัลติคลาวด์ให้ประสบผลสำเร็จอย่างไร”
Project Frontier ของเดลล์ เพื่อการสเกลการบริหารจัดการระบบเอดจ์อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับการใช้งานระดับเอนเทอร์ไพรซ์
ด้วยซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มบริหารจัดการสำหรับเอดจ์ของ Project Frontier ลูกค้าจะได้รับ:
- ตัวเลือกซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน ตลอดจนกรอบการทำงานด้าน IoT ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านการปฏิบัติการ (Operation Technology หรือ OT) สภาพแวดล้อมการทำงานแบบมัลติ-คลาวด์และเทคโนโลยีอนาคตต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนด้วยการออกแบบในระบบเปิด จะสามารถรวมรูปแบบการใช้งาน (use cases) เอดจ์ที่มีอยู่เดิมกับเอดจ์ระดับองค์กรใหม่เข้าด้วยกันให้ทำงานร่วมกันได้
- การรักษาความปลอดภัยแบบ Zero Trust ครอบคลุมเอดจ์แอปพลิเคชัน ดาต้าและโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการนำไปใช้งาน รวมถึงการนำมาตรการรักษาความปลอดภัยของซัพพลายเชนแบบครบวงจร (end-to-end) เข้ามาใช้ร่วมกัน
- ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือเพิ่มสูงขึ้นของระบบบริหารจัดการเอดจ์แบบครบวงจรด้วยการใช้การจัดการแบบรวมศูนย์ การนำรูปการติดตั้งอุปกรณ์ แบบ zero-touch เข้ามาใช้ และตรวจเช็คความปลอดภัยของอุปกรณ์ที่นำมาใช้งานในองค์กร
- ลดความจำเป็นในการใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีในภาคสนามด้วยการใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อปรับปรุงการใช้และการดำเนินงานอุปกรณ์เอดจ์ที่มีอยู่ในพื้นที่ปลายทาง (edge locations) ที่อาจมีหลายพันจุด
- การบูรณาการของฮาร์ดแวร์ประมวลผลและฮาร์ดแวร์จัดเก็บข้อมูลที่เอดจ์เข้ากับตัวเวิร์กโหลดเพื่อความง่ายต่อการให้บริการและเพิ่มความปลอดภัยให้สูงขึ้น
- บริการการวางแผนและการให้การสนับสนุนทั่วโลกใน 170 ประเทศ เพื่อช่วยออกแบบการติดตั้งเอดจ์เพื่อการนำไปใช้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกและการสร้างแผนงาน (roadmap) สำหรับการปรับขยายขนาดโครงสร้างพื้นฐานเอดจ์ของลูกค้าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการใหม่ที่เข้ามา
ยกตัวอย่าง เดลล์ เทคโนโลยีส์คือหนึ่งในผู้ผลิตเทคโนโลยีชั้นนำของโลกและทำหน้าที่จัดการหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกที่ใหญ่ที่สุด เดลล์วางแผนที่จะปรับใช้แพลตฟอร์มเอดจ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในสายการผลิตด้วยการทำให้การดำเนินงานง่ายขึ้น สามารถเชื่อมต่อข้อมูลที่มีความสำคัญได้อย่างปลอดภัยตั้งแต่จากพื้นที่ที่ใช้ในการผลิตไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และช่วยให้สามารถรายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ด้วย Dell Edge Design Program เดลล์ทำงานร่วมกับลูกค้าในการช่วยออกแบบและกำหนดรูปแบบการพัฒนา Project Frontier ให้สนองตอบต่อความต้องการแบบเฉพาะเจาะจงได้อีกด้วย
“ไอดีซีมองเห็นความเป็นไปได้ที่โมเดิร์นเอดจ์เวิร์กโหลดจะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในวงกว้าง ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่มีความยืดหยุ่นในระดับสูงและสามารถทำงานได้โดยพึ่งพาความช่วยเหลือจากมนุษย์น้อยที่สุด” เจนนิเฟอร์ คุก ผู้อำนวยการการวิจัย ด้านกลยุทธ์ของเอดจ์ ไอดีซี กล่าว “ความทุ่มเทของเดลล์ที่มีต่อ Project Frontier คือการก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งในการนำสถาปัตยกรรมเข้ามาตอบสนองต่อความต้องการเหล่านี้และช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับปรุงการดำเนินงานของระบบเอดจ์ที่ปลายทางให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
“เดลล์ เทคโนโลยีส์และอาโทสทำงานร่วมกันมาอย่างยาวนานเพื่อส่งมอบคุณค่าที่สูงขึ้นให้กับภาคธุรกิจโดยช่วยให้สามารถใช้ศักยภาพสูงสุดของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ” อาร์โนลด์ แลงเกอร์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ Global Edge และ IoT ของอาโทส กล่าว “เรารอคอยที่จะได้ร่วมมือกับเดลล์ในการสร้างนวัตกรรมเอดจ์ใหม่ๆ เพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถลดความซับซ้อนและเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบเอดจ์ พร้อมช่วยเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น”
นวัตกรรมที่ครอบคลุมพอร์ตฟอลิโอของโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์สำหรับผูใช้ปลายทางทั้งหมดเพื่อให้นำเอดจ์มาใช้งานได้ง่ายขึ้น
เมื่อ Project Frontier เกิดขึ้น เดลล์ได้ขยายสายผลิตภัณฑ์เอดจ์ที่มีในปัจจุบันเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถรองรับการขยายตัวของเอดจ์และจัดการการปรับใช้เอดจ์ได้
- เอดจ์เพื่อการวิเคราะห์และการดำเนินงาน: อุตสาหกรรมการผลิตสามารถลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับใช้แอปพลิเคชันเอดจ์ด้วย Dell Validated Design for Manufacturing Edge โดยโซลูชันดังกล่าวได้นำเอาแอปพลิเคชันใหม่ๆ ของพันธมิตรทางธุรกิจที่ได้รับการรับรองจากเดลล์เข้าไว้ด้วยกันเพื่อรองรับการใช้งานเอดจ์ (use case) ในระดับแอดวานซ์ และยังช่วยปรับปรุงกระบวนการและประสิทธิภาพของโรงงาน ในขณะที่ลดของเสียและการใช้วัตถุดิบเพื่อการดำเนินงานที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่าง คลาโรตี (Claroty) ซึ่งให้บริการในการดูแลและกู้คืนสินทรัพย์ดิจิทัล การป้องกันระบบเครือข่าย การตรวจจับภัยคุกคามและช่องโหว่ความปลอดภัย ตลอดจนการจัดการความเสี่ยงของระบบไซเบอร์-กายภาพ (cyber-physical) ตามมาด้วยระบบแมชชีนวิชันของค็อกเน็กซ์ (Cognex) ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิตด้วยการขจัดข้อบกพร่องที่มีอยู่ออกไป อีกทั้งยังช่วยตรวจสอบข้อมูลการประกอบชิ้นส่วนและข้อมูลการแทรคกิ้งในช่วงระหว่างกระบวนการผลิต ยังมี เทลิท (Telit) ที่ทำให้การจัดการและการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์ อุปกรณ์ต่างๆ เครื่องจักร และจากโรงงานเป็นไปโดยอัตโนมัติด้วยแพลตฟอร์ม IoT และ XMPro ที่สร้างดิจิทัล ทวินสำหรับกระบวนการปฏิบัติการในโรงงานเพื่อช่วยให้ผู้ผลิตสามารถประหยัดทั้งเวลาและในระหว่างกระบวนการทำงานของโรงงาน ผู้ผลิตสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการได้อย่างรวดเร็ว และเปิดใช้งานสายการผลิตที่กำหนดค่าใหม่ได้ด้วยความสามารถของไพรเวท 5G ของเดลล์
- การประมวลผลเอดจ์และการวิเคราะห์ที่เอดจ์: เดลล์ PowerEdge XR4000 คือเซิร์ฟเวอร์ที่มีขนาดสั้นที่สุดของเดลล์ PowerEdge โดยมีขนาดประมาณกล่องใส่รองเท้า โดยความยาวของ XR4000 มีขนาดสั้นกว่าเซิร์ฟเวอร์ทั่วไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมาพร้อมทางเลือกในการติดตั้งที่หลากหลาย เช่น ติดตั้งในตู้แร็คที่อยู่บนผนัง หรือเพดาน เพื่อช่วยประหยัดพื้นที่ทำงานอันมีค่า ทั้งนี้ เซิร์ฟเวอร์แบบมัลติ-โหนดในแชสซีขนาด 2U นี้มีความทนทานและสามารถทำงานได้ในสภาวะที่คาดเดาไม่ได้ เช่น ในสภาวะที่มีคลื่นความร้อนสูง หรือทนทานต่อการตกกระแทก แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ XR4000 เป็นเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถรองรับเวิร์กโหลดที่ปลายทาง (edge) ได้หลากหลาย และได้รับการออกแบบมาเพื่อทำงานกับ Intel(R) Xeon(R) D โปรเซสเซอร์พร้อมระบบปฏิบัติการที่หลากหลายและยังรองรับการติดตั้ง GPU ที่เป็นออปชั่นได้ด้วย ทั้งนี้ XR4000 มาพร้อมกับ Dell Validated Design for Manufacturing Edge และจะมี Dell VxRail rugged โมเดลใหม่บน XR4000 ใหม่ที่สามารถให้ประสิทธิภาพที่ทรงพลังและความสามารถในการสเกลในพื้นที่ของเอดจ์ที่มีแบนด์วิธต่ำและความหน่วงสูง
- เอดจ์เพื่อการเก็บข้อมูล: สร้างขึ้นเพื่อความทนทานต่อตำแหน่งหรือพื้นที่ที่ติดตั้งอุปกรณ์ปลายทางที่ต้องใช้ประสิทธิภาพการทำงานสูง เดลล์ Latitude 7230 Rugged Extreme คือ แท็บเล็ตเพื่อความทนทานสมบุกสมบัน (fully-rugged) อย่างที่สุด ขนาด 12 นิ้ว ที่ทรงพลังที่สุดและมีน้ำหนักเบาที่สุดในอุตสาหกรรม ได้รับการออกแบบมาเพื่อการทำงานในสภาพแวดล้อมทั้งในพื้นที่เย็นและร้อนจัด Latitude 7230 Rugged Extreme ได้รับการจัดอันดับในฐานะแท็บเล็ตที่ให้การปกป้องสูงสุดจากทั้งฝุ่น สิ่งสกปรก และน้ำ ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับเจ้าหน้าที่ภาคสนาม เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยและการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ต้องอยู่นอกอาคารหรือกลางแจ้ง นอกจากนี้ ยังรวมถึงความสามารถ Wi-Fi 6E ใหม่พร้อมการรองรับดูอัล-แบนด์เพื่อการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้มากขึ้น 12th Gen Intel(R) Core(TM) โปรเซสเซอร์ที่ให้ประสิทธิภาพอันทรงพลัง และคุณสมบัติเสริมที่รวมเข้ามาเพื่อเป็นทางเลือก (option) อาทิ เครื่องสแกนบาร์โค้ด GPS โมดูล และเครื่องอ่านสมาร์ทการ์ด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในภาคสนาม นอกจากนี้ ตัวแท็บเล็ตยังสร้างมาเพื่อให้สามารถมองเห็นหน้าจอแม้อยู่ในที่ที่สว่างที่สุดและแสงจ้าที่สุดด้วยพื้นที่หน้าจอที่ใหญ่ที่สุดสำหรับแท็บเล็ตเกรดการใช้งานในกองทัพ (military-grade) ขนาด 12 นิ้วที่ทนทานสมบุกสมบันแบบจัดเต็ม
ความพร้อมในการวางตลาด
- แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์เอดจ์ของ Project Frontier จะพร้อมวางตลาดเพื่อการใช้งานในปี 2023
- Dell Validated Design for Manufacturing Edge พร้อมใช้ทั่วโลกในช่วงต้นปี 2023
- Dell PowerEdge XR4000 ซึ่งมาพร้อมกับตัวเลือกที่ปรับแต่งได้ของเดลล์ OEM พร้อมวางจำหน่ายทั่วโลกในเดือนธันวาคม 2565
- Dell Latitude 7230 Rugged Extreme Tablets จะวางจำหน่ายทั่วโลกภายในสิ้นปี 2022
ที่มา: เอพีพีอาร์ มีเดีย