AIS 5G พร้อมด้วยพันธมิตรผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่าง Qualcomm และ ZTE ได้ร่วมกันทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC (New Radio Dual Connectivity) สำเร็จเป็นครั้งแรกของโลกบนคลื่นความถี่ 2.6GHz (2600MHz) และ 26GHz โดยสามารถทำความเร็วสูงสุด ทั้งนี้การรวมกันของสองคลื่นความถี่ดังกล่าวบนเทคโนโลยี 5G นี้ ถือเป็นอีกก้าวความสำเร็จของการพัฒนาความเร็ว “5G mmWave” ซึ่งมีความสำคัญต่อการขยายขีดความสามารถเครือข่าย 5G ในประเทศไทย
การทดสอบ 5G NR-DC ในครั้งนี้ได้ทำการทดสอบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้นำมือถือต้นแบบที่ใช้ชิปเซ็ท Snapdragon X65 5G ของ Qualcomm และใช้อุปกรณ์กระจายสัญญาณ mmWave AAU ของ ZTE มาทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC ด้วยการนำคลื่นความถี่ย่านกลาง 2.6GHz จำนวนแบนด์วิธ 100MHz รวมกับคลื่นความถี่ย่านสูง 26GHz จำนวนแบนด์วิธ 4 X 200MHz ซึ่งสามารถทดสอบได้ความเร็วดาวโหลดสูงสุดได้ที่ 8.5 Gbps หรือ 8506639.00 Kbps และความเร็วสูงสุดการอัปโหลดที่ 2.17Gbps หรือ 2172220.25 Kbps โดยตัวเลขการทดสอบดังกล่าวบ่งชี้ได้ว่า ความสามารถของ 5G NR-DC จะเข้ามาเติมเต็มการใช้งานของลูกค้าทั่วไปได้ดีมากขึ้น รวมทั้งการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอนาคตของภาคอุตสาหกรรม
นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “เป้าหมายหลักของ AIS คือ เดินหน้าพัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศด้วยงบลงทุนกว่า 30,000 – 35,000 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตถือครองคลื่นความถี่มากที่สุดและครบ ทั้งย่านความถี่ต่ำ (Low Band) ย่านความถี่กลาง (Mid Band) และ ย่านความถี่สูง (High Band) หรือ mmWave ซึ่งโดดเด่นในด้านการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วและความหน่วงต่ำ โดยที่ผ่านมา เราไม่เคยหยุดยั้งในการนำนวัตกรรมเข้ามายกระดับเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 5G NSA/ SA, VoNR, 5G CA เป็นต้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ให้แก่คนไทย ตามเจตนารมณ์ตั้งแต่การเข้าร่วมประมูลคลื่น”
“ล่าสุด นับเป็นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่างต่อเนื่องอีกครั้งกับ ZTE และ Qualcomm ในการร่วมกันทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC (New Radio Dual Connectivity) ที่เป็นก้าวสำคัญในการนำคลื่น 5Gความถี่ย่าน 2.6GHz และ 26GHz มารวมกันซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของโลกโดยจะทำให้ได้ช่องส่งสัญญาณที่กว้างมากยิ่งขึ้น และมีความหน่วงต่ำ (Low Latency) ส่งผลต่อการสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้บริโภคและการใช้งานของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต อาทิ การสตรีมเกมส์ออนไลน์ (Cloud Game) การควบคุมรถยนต์ไร้คนขับ ตลอดจนการบังคับหุ่นยนต์ระยะไกลที่ทำได้อย่าง real time มากไปกว่านั้นการทดสอบนี้ยังสามารถรองรับการพัฒนาของชิปเซ็ตมือถือรุ่นใหม่ๆ ในอนาคตที่จะทำให้การรับส่งข้อมูลเชื่อมต่อได้รวดเร็วอีกด้วย”
“ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า AIS เป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวที่นำคลื่นความถี่ที่มีในมือในทุกย่านมาพัฒนาเพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจในมิติต่างๆ รวมถึงสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยอย่างต่อเนื่อง และเท่าทัน ที่สำคัญคือในครั้งนี้เรามี Qualcomm ผู้พัฒนาชิปเซ็ตระดับโลก มาร่วมอยู่ในการทำสอบ จึงทำให้มั่นใจได้ว่า เครือข่าย AIS 5G จะพร้อมตอบสนองและสนับสนุนการใช้งานของดีไวซ์ต่างๆที่รองรับเทคโนโลยี 5G mmWave ซึ่งกำลังทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างแน่นอน และที่มากไปกว่านั้นยังเป็นโอกาสที่ดีในการสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจในมิติต่างๆ อีกด้วย” นายวสิษฐ์ กล่าว
นายอิสซาโน่ อืสแลมรองประธานและประธาน Qualcomm South East Asia, Qualcomm, Qualcomm กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการปรับใช้ 5G mmwave ในประเทศไทย ที่ Qualcomm เชื่อว่า 5G mmwave จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของ 5G อย่างเต็มที่ ความเป็นไปได้นั้นไม่มีที่สิ้นสุดและเราภูมิใจที่ได้ก้าวแรกร่วมกับพันธมิตรหลักของเราในการนำประโยชน์ทั้งหมดของ 5G mmwave มาสู่ประเทศ”
ด้านนายเหมา จุน หย่ง รองประธานอาวุโส บริษัท แซดทีอี คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ AIS และ Qualcomm ในการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทดสอบการนำเทคโนโลยี 5G mmWave มาใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ ที่วันนี้เราสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเราเชื่อว่าการทำงานร่วมกันของพาร์ทเนอร์ และประสิทธิภาพการทำงานของ 5G จากการทดสอบในครั้งนี้จะสามารถสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้าได้อย่างแน่นอน”
เพราะฉะนั้นการร่วมกันทดสอบเทคโนโลยี 5G NR-DC ถือเป็นอีกหนึ่งการขับเคลื่อนความก้าวหน้าในการนำ 5G mmWave มาพัฒนาเพื่อปรับใช้ทั้งในเชิงพาณิชย์สำหรับภาคอุตสาหกรรมและการใช้งานของลูกค้าทั่วไป ทั้งนี้ในอนาคต AIS , Qualcomm และ ZTE จะทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 5G ทั้งยกระดับความสามารถ การปรับปรุงประสิทธิภาพ และการขยาย 5G ให้สามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวาง ครอบคลุมและทั่วถึงผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ที่ครบครัน
ที่มา: เอไอเอส