“สกาย ไอซีที” พัฒนาแพลตฟอร์ม e-KYC ตอบโจทย์เมกะเทรนด์บล็อกเชน ตอกย้ำผู้นำ AI-Empowered Solution เดินหน้ายกระดับนวัตกรรม Facial Authentication พัฒนา 7 ฟีเจอร์หลักด้วย AI เสริมประสิทธิภาพการสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน ติดปีกฟีเจอร์เด่นกลุ่ม Interactive Face Liveness Detection ยืนยันตัวตนด้วยภาพเคลื่อนไหว เปรียบเทียบอัตลักษณ์บุคคลอย่างแม่นยำ ป้องกันการปลอมแปลงใบหน้าแอบอ้างตัวตน ก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงทั้งเพื่อผู้ใช้และภาคธุรกิจ จับมือ SenseTime International ร่วมปรับฟีเจอร์ให้เข้ากับบริบทสภาพแวดล้อมและสังคมไทย พร้อมเปิดให้ทดลอง Demo สำหรับภาคธุรกิจ เล็งนำร่องกลุ่ม Digital Asset-ธนาคาร-ประกัน
นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการ Digital Platform และ AI-Empowered Solution ระดับประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทได้ยกระดับเทคโนโลยีการทำความรู้จักลูกค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) หนึ่งในเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยของธุรกิจและแพลตฟอร์มต่างๆ ด้วยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีส่วนช่วยพัฒนาฟีเจอร์ยืนยันตัวตนผ่านการสแกนใบหน้า (Facial Authentication) พร้อมทั้งเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยขั้นสูงขณะทำธุรกรรมผ่านออนไลน์ให้แก่ทั้งผู้ใช้และภาคธุรกิจ รองรับการเติบโตของบล็อกเชน
“เทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่เข้าไปมีบทบาทสำคัญในหลากหลายธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน ยิ่งบล็อกเชนโตเท่าไหร่ ความต้องการเทคโนโลยี e-KYC จะยิ่งเติบโตคู่ขนานกันไป เพราะแพลตฟอร์มต่างๆ บนบล็อกเชน ยังต้องมีกระบวนการ Digital Onboarding ยืนยันตัวตนลูกค้าตั้งแต่การเข้าใช้งานแพลตฟอร์มครั้งแรก เพื่อป้องกันการโจรกรรมทางการเงินและการฟอกเงิน ขณะเดียวกัน บล็อกเชนยังอาจเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับ e-KYC ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคตอีกด้วย” นายขยล กล่าว
สำหรับแพลตฟอร์ม e-KYC จากสกาย ไอซีที ประกอบด้วย 7 ฟีเจอร์เด่น ที่จะช่วยให้การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้น ประกอบด้วย 5 ฟีเจอร์หลัก ได้แก่ 1.การตรวจจับใบหน้า (Face Detection) โดยใช้ระบบ 2D ในการสแกนใบหน้าเพื่อแปลงอัตลักษณ์ให้เป็นข้อมูลอ้างอิงชีวมิติ 2.การปรับคุณภาพรูปถ่าย (Face Quality) จากการวิเคราะห์และตรวจสอบความคมชัดของใบหน้าจากรูปภาพเพื่อให้ได้มาตรฐาน 3.การจำแนกข้อมูลอัตลักษณ์จากใบหน้า (Face Attributes) ด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบของใบหน้าเพื่อระบุคุณลักษณะ เช่น เพศ อายุ การสวมใส่แว่นตาหรือหน้ากากอนามัย 4.การเปรียบเทียบใบหน้า (Face Comparison) เพิ่มประสิทธิภาพในการพิสูจน์ตัวตนให้แม่นยำมากขึ้น ด้วยการเทียบใบหน้าปัจจุบันเข้ากับฐานข้อมูล 5.การตรวจจับภาพหน้าจริง (Photo Liveness Detection) ตรวจจับภาพนิ่งว่าเป็นภาพใบหน้าจริง ป้องกันการนำรูปถ่ายหรือหน้ากากมาแอบอ้างในการยืนยันตัวตน
และอีก 2 ฟีเจอร์ใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจับภาพเคลื่อนไหว หรือ Interactive Face Liveness Detection ได้แก่ 6.การตรวจจับใบหน้าจริงแบบภาพเคลื่อนไหว (Video Silent Liveness Detection) เพื่อป้องกันการนำไฟล์วิดีโอมาแอบอ้างในการยืนยันตัวตน และ 7.การตรวจจับภาพเคลื่อนไหวแบบตอบสนอง (Video Interactive Liveness) ด้วยการยืนยันตัวตนโดยเคลื่อนไหวตามคำร้องขอของระบบ ทั้ง 2 ฟีเจอร์ถือเป็นจุดแตกต่างที่บริษัทมุ่งพัฒนาให้มีประสิทธิภาพโดดเด่นกว่าตลาดในประเทศไทย
นายขยล กล่าวอีกว่า บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์ม e-KYC ร่วมกับ SenseTime International ผู้นำด้านซอฟต์แวร์ AI ระดับโลก นำเทคโนโลยี Interactive Face Liveness Detection เข้ามาเสริมประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลชีวมิติ (Biometric Presentation Attack) เช่น นำภาพถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวใบหน้าของผู้อื่นมาซ้อนทับขณะสแกนใบหน้า เพื่อแอบอ้างตัวตัวในการทำธุรกรรมผ่านออนไลน์ ขณะเดียวกัน ได้ปรับรูปแบบการทำงานของเทคโนโลยีให้เข้ากับบริบทสภาพแวดล้อมและสังคมไทย ตลอดจนลักษณะทางกายภาพของคนไทย เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการยืนยันตัวตนและความปลอดภัย รองรับความต้องการใช้งานของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ และสร้างความแตกต่างจากแพลตฟอร์ม e-KYC ทั่วไปที่นิยมซื้อสิทธิ์การใช้งานมาจากต่างประเทศโดยตรงและไม่ได้พัฒนาให้เข้ากับบริบทของไทย
ทั้งนี้ บริษัทจะมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ต้องการระบบยืนยันตัวตนผู้ใช้งาน โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) เช่น ธุรกิจศูนย์ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซี ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มธุรกิจประกันภัย
ด้านนายมาร์ติน หวง (Mr. Martin Huang), Managing Director of SenseTime International กล่าวว่า ความร่วมมือกับสกาย ไอซีทีครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของการใช้ Facial Authentication ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น ท่ามกลางการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เริ่มได้รับความนิยมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย บริษัทจึงเชื่อว่าการพัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน และช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่โลกอนาคตได้เร็วขึ้น
“ในฐานะผู้นำด้านซอฟต์แวร์ AI เรามุ่งมั่นที่จะใช้เทคโนโลยี AI เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ ผู้คน และสังคม สำหรับการร่วมมือกับสกาย ไอซีที พันธมิตรของเราในครั้งนี้ เรามองเห็นโอกาสในการส่งเสริมธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทย และเพื่อปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลของทุกคนผ่านการยกระดับความสามารถของแพลตฟอร์ม e-KYC” Mr. Martin กล่าว
ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม e-KYC จากสกาย ไอซีที สามารถตอบโจทย์ความต้องการความปลอดภัยขั้นสูงแก่ลูกค้าองค์กรถึง 4 ด้าน ได้แก่ 1.มีความแม่นยำสูง (High Accuracy) จากการใช้แพลตฟอร์ม e-KYC ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดบน NIST 2.ดูแลความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) โดยทำงานผ่านระบบ Cloud-Based Solution ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก 3.ลดเวลาในการรับส่งข้อมูล (Low Latency Data) ส่งข้อมูลได้รวดเร็วกว่าโดยไม่ลดประสิทธิภาพในการทำงาน และ 4.ใช้ต้นทุนน้อยกว่า (Cost Reduction) ช่วยลดต้นทุนต่อการทำธุรกรรม (Transaction) ของผู้ประกอบการธุรกิจ พร้อมเปิดให้ทดลองใช้ในรูปแบบ Demo ได้แล้ววันนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-029-7888 หรืออีเมล [email protected]
บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY บริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรม การให้บริการ Digital Platform และ AI-Empowered Solution ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY
ที่มา: อเกต คอมมิวนิเคชั่น