Hikvision เผย 8 เทรนด์สำคัญของอุตสาหกรรมความปลอดภัยในปี 2565

ก้าวเข้าสู่ปี 2565 ทั่วโลกยังคงเผชิญกับสถานการณ์โรคระบาดที่ยังไม่จบสิ้น อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมความปลอดภัยยังคงมีการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นก็ตาม และบางเทรนด์กลับได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยนอกเหนือจาก “ความปลอดภัยทางกายภาพ” ทั่วไปแล้ว ภาคส่วนอื่นอย่างเช่น AI, IoT, คลาวด์คอมพิวติ้ง และความปลอดภัยทางไซเบอร์ ก็ได้รับการบุกเบิกอย่างรวดเร็วโดยบริษัทน้อยใหญ่ในอุตสาหกรรมของเรา

เมื่อพิจารณาจากทุกแง่มุมแล้ว พบว่าอุตสาหกรรมความปลอดภัยกำลังอยู่ในขั้นตอนของการกำหนดนิยามใหม่ให้กับตัวเอง โดยเปลี่ยนจากการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเพียงอย่างเดียวไปสู่กิจกรรมที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับความปลอดภัย รวมถึงนำความชาญฉลาดและความยั่งยืนระดับใหม่มาสู่ชุมชน บริษัท และสังคม

ในโอกาสนี้ Hikvision ขอแบ่งปันแนวคิดและการคาดการณ์เทรนด์สำคัญที่มีแนวโน้มส่งผลต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยในปี 2565 และอาจต่อเนื่องไปถึงอนาคต

1. AI จะแพร่หลายไปทุกที่

ทุกวันนี้ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมดาในอุตสาหกรรมความปลอดภัย ลูกค้าในอุตสาหกรรมจำนวนมากขึ้นต่างตระหนักถึงคุณค่าของ AI และมีการนำ AI ไปใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย โดย AI ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้นร่วมกับระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ (ANPR), ระบบแจ้งเตือนเหตุการณ์อัตโนมัติ และระบบลดสัญญาณเตือนที่ผิดพลาด เช่น ใช้ในการตรวจสอบอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE), ตรวจจับการล้มของผู้สูงอายุ, ตรวจสอบพื้นผิวของเหมือง และอีกมากมาย ขณะเดียวกัน เรายังเห็นความร่วมมือที่เพิ่มมากขึ้นทั่วทั้งอุตสาหกรรม โดยบรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยต่างปล่อยผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ให้กับบุคคลที่สามเพื่อใช้งานร่วมกับ AI รวมถึงเปิดแพลตฟอร์มให้ลูกค้าได้สร้างสรรค์และฝึกฝนอัลกอริทึม AI เพื่อตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจง

AI เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมความปลอดภัย โดยอัลกอริทึมที่ผ่านการปรับปรุง ประสิทธิภาพการประมวลผลที่ดีขึ้น และต้นทุนของชิปที่ลดลงอันเนื่องมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ส่งผลให้การใช้งาน AI ค่อย ๆ หล่อหลอมฟังก์ชันการทำงานพื้นฐานและศักยภาพซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม และเราคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นที่ “AI จะแพร่หลายไปทุกที่”

2. AIoT จะแพร่หลายและพลิกโฉมอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล

เนื่องจากกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยอื่น ๆ มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายมากขึ้น อุตสาหกรรมความปลอดภัยจึงกลายเป็นส่วนสำคัญของโลก IoT โดยช่วยทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นดีขึ้น ทุกวันนี้เห็นได้ชัดว่าเส้นแบ่งอุตสาหกรรมความปลอดภัยมีความไม่ชัดเจนมากขึ้น และก้าวไปไกลกว่าความปลอดภัยทางกายภาพเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน ความนิยมในเทคโนโลยี AI ก็ทำให้อุปกรณ์เชื่อมต่อกลายเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะในโลกของ IoT ดังนั้น การผสมผสานระหว่าง AI และ IoT หรือที่เราเรียกว่า AIoT จึงนำพาอุตสาหกรรมความปลอดภัยไปสู่ระดับใหม่ ด้วยการทำให้กระแสงานและการดำเนินงานขององค์กรเป็นอัตโนมัติ และช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ สู่ระบบดิจิทัล เช่น อุตสาหกรรมพลังงาน โลจิสติกส์ การผลิต การค้าปลีก การศึกษา การดูแลสุขภาพ ฯลฯ

จากมุมมองของเรานั้น AIoT นำความเป็นไปได้มากมายมาสู่อุตสาหกรรมความปลอดภัย โดยช่วยขยายการใช้งานอุปกรณ์และระบบความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ความสามารถในการรับรู้อื่น ๆ เช่น เรดาร์ ไลดาร์ การวัดอุณหภูมิ การตรวจจับความชื้น และการตรวจจับแก๊สรั่ว ก็ถูกเพิ่มเข้าไปในอุปกรณ์และระบบความปลอดภัย เพื่อทำให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น โดยอุปกรณ์ใหม่เหล่านี้สามารถรองรับภารกิจที่หลากหลายซึ่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนยังต้องใช้อุปกรณ์หลายตัวร่วมกัน ครอบคลุมทั้งฟังก์ชันความปลอดภัยและฟังก์ชันอัจฉริยะอื่น ๆ เพื่อรองรับโลกที่มีความก้าวหน้ามากกว่าที่เคย

3. ระบบที่หลอมรวมกันจะช่วยทำลายกำแพงด้านข้อมูล

พนักงานทั่วองค์กรภาครัฐและเอกชนจะคว้าโอกาสในการทำลาย “กำแพงด้านข้อมูล” โดยข้อมูลและสารสนเทศที่กระจัดกระจายและแยกออกจากกันระหว่างระบบหรือกลุ่มที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดอุปสรรคในการแบ่งปันข้อมูลและสร้างความร่วมมือ รวมถึงทำให้ผู้จัดการมองไม่เห็นภาพรวมของการดำเนินงาน ณ จุดนี้ การหลอมรวมระบบข้อมูลต่าง ๆ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากพอในการทำลายกำแพงด้านข้อมูล

เห็นได้ชัดว่าเทรนด์ในอุตสาหกรรมความปลอดภัยคือการพยายามหลอมรวมระบบต่าง ๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ อาทิ ระบบวิดีโอ การควบคุมการเข้าถึง การแจ้งเตือน การป้องกันอัคคีภัย และการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นต้น นอกจากนี้ ระบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ระบบความปลอดภัย เช่น ระบบทรัพยากรบุคคล การเงิน สินค้าคงคลัง และโลจิสติกส์ ก็หลอมรวมเข้าด้วยกันในแพลตฟอร์มการจัดการแบบบูรณาการ เพื่อยกระดับความร่วมมือและสนับสนุนการตัดสินใจโดยอิงข้อมูลและการวิเคราะห์ที่มีความครอบคลุมมากขึ้น

4. โซลูชันและบริการบนคลาวด์จะมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

เช่นเดียวกับ AI เทคโนโลยีคลาวด์ก็ไม่ใช่เทรนด์ใหม่ในอุตสาหกรรมความปลอดภัย แต่กำลังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ เราเห็นธุรกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่หันมาใช้โซลูชันและบริการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ และเทรนด์ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในขณะนี้ก็คือ สถานการณ์โรคระบาดได้ผลักดันให้ผู้คนและธุรกิจทั่วโลกหันมาดำเนินงานบนคลาวด์อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

ทุกธุรกิจต้องการแพลตฟอร์มหรือบริการที่เรียบง่าย โดยใช้สินทรัพย์น้อยที่สุดในการบริหารจัดการ และติดตั้งง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนี่คือสิ่งที่คลาวด์สามารถตอบสนองได้ โดยโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์หรือซอฟต์แวร์ของตนเอง ทั้งยังสามารถตรวจสอบสถานะของสินทรัพย์และธุรกิจได้แบบเรียลไทม์ รับการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยอย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้ง่าย ๆ โดยใช้แอปมือถือ นอกจากนี้ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจด้านความปลอดภัยนั้น คลาวด์ยังช่วยในการตั้งค่าอุปกรณ์ของลูกค้า แก้บั๊ก รักษาและปรับปรุงระบบความปลอดภัย และให้บริการเสริมที่ดีกว่าเดิม โดยทั้งหมดสามารถทำได้จากทางไกล

5. ภาพที่คมชัดจะกลายเป็นมาตรฐานในทุกสภาพอากาศ ทุกสถานการณ์ ทุกเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน

กล้องวงจรปิดต้องสามารถจับภาพที่คมชัดทุกรายละเอียดตลอด 24 ชั่วโมงในทุกสภาพอากาศและทุกสถานการณ์ โดยกล้องที่มาพร้อมเทคโนโลยีจับภาพในสภาพแสงต่ำด้วยความละเอียดสูงและเป็นภาพสีในเวลากลางคืนหรือแทบไม่มีแสงกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากจากตลาด เราได้เห็นเทคโนโลยีที่น่าประทับใจนี้ถูกนำมาใช้กับกล้องวงจรปิดรุ่นใหม่มากขึ้น รวมถึงกล้อง 4K, Varifocal และ PTZ ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้ภาพจากกล้องวงจรปิดมีความคมชัดมากขึ้นในสภาพการมองเห็นที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะในสภาพอากาศย่ำแย่ จึงได้มีการนำเซ็นเซอร์ภาพประสิทธิภาพสูง, เทคโนโลยี ISP และอัลกอริทึม AI มาใช้ ส่งผลให้กล้องสามารถจับภาพที่คมชัดและมีรายละเอียดสูง

เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีภาพ เทรนด์ที่น่าจับตาคือการนำเลนส์หลายอันมาใช้กับกล้องรุ่นใหม่ ๆ เนื่องจากกล้องเลนส์เดียวมีข้อจำกัดในการเก็บรายละเอียดของภาพในระยะไกลและเก็บภาพรวมในพื้นที่ขนาดใหญ่ โดยสามารถทำได้อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่การใช้เลนส์สองอันขึ้นไปในกล้องตัวเดียวสามารถจับภาพในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ทั้งมุมกว้างและลงในรายละเอียด โดยกล้องหลายเลนส์เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในสนามบิน ท่าเรือ สถานีขนส่ง ลานจอดรถ สนามกีฬา และจัตุรัสต่าง ๆ 

6. การควบคุมการเข้า-ออกด้วยไบโอเมตริกจะมอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่สูงขึ้น

ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา การควบคุมการเข้า-ออกได้วิวัฒนาการจากการใช้กุญแจ รหัสผ่าน และบัตรผ่าน มาสู่ยุคของไบโอเมตริก โดยตลาดการควบคุมการเข้า-ออก มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาสู่การพิสูจน์ตัวตนด้วยไบโอเมตริก ตั้งแต่ลายนิ้วมือ ลายฝ่ามือ ใบหน้า ไปจนถึงม่านตา

การควบคุมการเข้า-ออกด้วยไบโอเมตริกมีข้อได้เปรียบมากมาย เช่น ประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่สูงขึ้น ขณะที่การปลอมแปลงก็ลดลง โดยสามารถพิสูจน์ตัวตนได้ภายในไม่กี่วินาทีหรือเสี้ยววินาที และป้องกันการสัมผัสทางกายโดยไม่จำเป็น โดยการสแกนม่านตา ฝ่ามือ และใบหน้า เป็นวิธีควบคุมการเข้า-ออกโดยไม่ต้องมีการสัมผัส ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติด้านสุขอนามัยที่ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นในสถานการณ์โรคระบาด

7. การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบ Zero Trust จะได้รับความสนใจ

เนื่องจากอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ตมากเกินจินตนาการ ความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงกลายเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงในอุตสาหกรรม ในระยะหลังนี้ ข้อกำหนดด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดมากขึ้นได้ถูกนำมาใช้ในตลาดสำคัญ ๆ ทั่วโลก เช่น กฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป และกฎหมายความปลอดภัยข้อมูลของจีน เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นที่ต้องการมากขึ้น นอกจากนี้ การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรหลายแห่งในปี 2564 ยังทำให้เราตระหนักว่าบริษัทในทุกอุตสาหกรรมต้องยกระดับสถาปัตยกรรมความปลอดภัยของเครือข่ายและเสริมความแข็งแกร่งในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์

เพื่อจัดการกับปัญหาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น แนวคิดการรักษาความปลอดภัยแบบ “Zero Trust” ที่พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2553 ได้กลายมาเป็นคำฮิตในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดย Zero Trust เป็นแนวคิดเชิงกลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูล ด้วยการตอกย้ำว่าห้ามไว้ใจอะไรทั้งสิ้นในสถาปัตยกรรมเครือข่ายขององค์กร และยึดมั่นในหลักการที่ว่า “อย่าไว้ใจ ต้องตรวจสอบเสมอ” ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมไอที และตอนนี้กำลังเข้าสู่อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางกายภาพอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง โดยค่อย ๆ กลายเป็นส่วนสำคัญของโลก IoT

8. การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแนวคิดคาร์บอนต่ำจะก้าวหน้าอย่างมาก

แนวคิดคาร์บอนต่ำได้รับการเชิดชูจากสังคมต่าง ๆ ทั่วโลก และในอุตสาหกรรมความปลอดภัยนั้น เราได้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานน้อยได้กลายมาเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค และกล้องที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ก็เป็นที่ต้องการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน กฎหมาย กฎระเบียบ และนโยบายในท้องถิ่นที่มีการกำหนดมาตรฐานการปล่อยคาร์บอนสำหรับองค์กรด้านการผลิต ได้ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปสู่การใช้แนวทางปฏิบัติที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในการดำเนินงานประจำวันและการผลิต ซึ่งรวมถึงการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และการใช้ดีไซน์ประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิตสินค้า นอกจากนี้ เรารู้สึกยินดีที่ได้เห็นผู้ผลิตในอุตสาหกรรมความปลอดภัยจำนวนมากขึ้นหันมาสำรวจแนวคิดการผลิต “สีเขียว” และมุ่งมั่นลดการปล่อยคาร์บอน โดยเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้ว แม้ว่าจะต้องใช้เวลาก็ตาม และเราหวังว่าจะได้เห็นความก้าวหน้าอย่างมากในปี 2565 นี้

ข้อมูลเพิ่มเติม

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุกอย่างที่มีการกล่าวถึงในข่าวนี้ หรือดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ล่าสุดด้านความปลอดภัยจาก Hikvision ได้ที่บล็อก https://www.hikvision.com/en/newsroom/blog/ 

รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1726732/Top_8_trends_security_industry_2022.jpg
คำบรรยายภาพ: 8 เทรนด์สำคัญของอุตสาหกรรมความปลอดภัยในปี 2565

ที่มา:  พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์