ในงานประชุม Huawei Global Analyst Summit ครั้งที่ 18 ซึ่งจัดขึ้นในเซินเจิ้นระหว่างวันที่ 12 ถึง 14 เมษายนที่ผ่านมา Huawei ได้ประกาศนวัตกรรมและพัฒนาการล่าสุดใน Intelligent Cloud-Network Solution ซึ่งเป็นโซลูชัน Cloud-Network อัจฉริยะของ Huawei
ในงานประชุมประจำปีครั้งนี้ Steven Zhao รองประธานฝ่าย Data Communication Product Line ของ Huawei กล่าวการบรรยายหลักในหัวข้อ “Go Digital Faster with the Intelligent Cloud-Network” (เปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย Cloud-Network อัจฉริยะ) โดยได้ชี้ว่า Intelligent Cloud-Network Solution ช่วยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในสี่ด้านหลัก ได้แก่ เครือข่ายคลาวด์ขององค์กร คลาวด์ WAN เครือข่ายศูนย์ข้อมูลแบบ hyper-converged และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
การย้ายไปใช้ระบบคลาวด์ถือเป็นส่วนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล สถิติของ IDC ชี้ว่า 80% ขององค์กรจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์ภายในปลายปี 2021 นอกจากนี้การเข้าถึงคลาวด์แบบ multi-cloud อันประกอบด้วยคลาวด์สาธารณะ คลาวด์ส่วนบุคคล และคลาวด์แบบไฮบริด จะเป็นทางเลือกหลักสำหรับองค์กรที่ต้องการย้ายไปใช้ระบบคลาวด์
องค์กรต่าง ๆ ในปัจจุบันอาจมีแนวโน้มที่จะย้ายบริการในสำนักงานไปสู่คลาวด์สาธารณะ อย่างไรก็ตาม ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลยกระดับขึ้น องค์กรต่าง ๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะย้ายบริการภาคการผลิตไปสู่ระบบคลาวด์ด้วยเช่นกัน
คุณ Zhao กล่าวว่า “Cloud-network เป็นรากฐานของการย้ายสู่ระบบคลาวด์ขององค์กร ด้วยสมรรถนะคอมพิวเตอร์และความอัจฉริยะที่แทบจะไร้ขีดจำกัด cloud-network ช่วยให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถขยายสเกลผลิตภาพได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมปลดปล่อยศักยภาพของข้อมูลย่อย และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัล”
ปัจจุบัน เทคโนโลยีคลาวด์พัฒนาไปในอัตราที่รวดเร็วยิ่งกว่าเครือข่ายซึ่งกลายเป็นเหมือนอุปสรรคของการประยุกต์ใช้คลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพ ในบริบทเช่นนี้ ระบบ cloud-network มีความท้าทายสี่รูปแบบได้แก่ คลาวด์ที่รวดเร็วแต่เครือข่ายที่ช้า การรับรองประสบการณ์ที่ยาก การปฏิบัติการและซ่อมบำรุงเครือข่ายที่มีความท้าทาย และการป้องกันความปลอดภัยที่ยากลำบาก
เพื่อแก้ปัญหาความท้าทายเหล่านี้ Huawei ปฏิบัติตามปรัชญา “ดิจิทัล อัจฉริยะ และมุ่งเน้นบริการเป็นสำคัญ” และได้พัฒนา Intelligent Cloud-Network Solution แบบครบวงจร ซึ่งแสดงให้เห็นความพยายามของ Huawei ในการเสริมสร้างความอัจฉริยะด้วยข้อมูล และช่วยให้องค์กรใช้งานระบบคลาวด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Intelligent Cloud-Network Solution ของ Huawei มีสมรรถนะเชิงนวัตกรรมในสี่ด้านหลัก ดังนี้
- CloudCampus 3.0 มอบประสบการณ์การเข้าถึงคลาวด์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด: CloudCampus 3.0 ใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย 100% จึงทำให้เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ขององค์กรได้อย่างราบรื่นในทุกที่ นอกจากนี้ยังใช้ SD-WAN เพื่อสร้างเครือข่ายระดับโลก จึงเอื้อให้เกิดการเชื่อมต่อแบบ interconnection และการจับคู่เครือข่ายคลาวด์ระดับโลก ด้วยฟีเจอร์ที่โดดเด่นอย่างเช่นการบริหารจัดการคลาวด์และระบบปฏิบัติการและซ่อมบำรุงอัจฉริยะ CloudCampus 3.0 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านปฏิบัติการและการซ่อมบำรุงเครือข่ายองค์กรได้อย่างมาก รวมถึงช่วยเพิ่มสมรรถนะของทั้งเครือข่ายได้ 58% และตรวจจับการขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า 85%
- CloudWAN 3.0 ทำให้เกิดการเชื่อมต่อเครือข่ายที่คล่องตัวและมีคุณภาพสูงระหว่างองค์กรกับระบบคลาวด์: CloudWAN 3.0 สร้างบนโครงข่ายที่มีการแบ่งภายในแบบ network slicing แบบมีลำดับขั้น จึงสามารถแยกบริการที่แตกต่างกันขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ยังมีข้อตกลงระดับการให้บริการเครือข่ายแบบออนดีมานด์ เพื่อการรับรองสมรรถนะของบริการ ด้วยอัลกอริทึม cloud-map อัจฉริยะ CloudWAN 3.0 สามารถเลือกเส้นทางเข้าถึงคลาวด์ได้อย่างยืดหยุ่นตามบริการต่าง ๆ ซึ่งช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการเข้าถึงคลาวด์ นอกจากนี้ ฟีเจอร์นวัตกรรมบูรณาการคลาวด์-เครือข่าย-ความปลอดภัยยังช่วยให้ทั้งเครือข่ายมีความปลอดภัยสูง โดยมีอัตราการตรวจพบภัยคุกคามสูงกว่า 96%
- CloudFabric 3.0 สร้างเครือข่ายศูนย์ข้อมูลแบบ hyper-converged เพื่อการหลอมรวมการเชื่อมต่อเครือข่ายและการเชื่อมต่อที่ไม่มีการสูญเสียสำหรับศูนย์ข้อมูลระบบคลาวด์: โซลูชันที่มีการออกแบบสำหรับอนาคตนี้มีการเชื่อมต่อ Ethernet ที่ไม่มีการสูญเสียอย่างแท้จริง โดยทั่วไปแล้ว ข้อมูลเชิงสถิติชี้ว่าอัตรา packet loss ที่ต่ำเพียง 0.1% จะลดสมรรถนะการประมวลผล 50% โดยที่การเพิ่มเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการบริการได้เสมอไป เพื่อแก้ปัญหานี้ Huawei ได้พัฒนานวัตกรรมระบบควบคุม flow speed อัจฉริยะ ซึ่งทำให้เกิดการส่งผ่านข้อมูลที่ไม่มีการสูญเสียในศูนย์ข้อมูลและระหว่างศูนย์ข้อมูลแบบ active-active ซึ่งอยู่ห่างกันในระยะถึง 70 กิโลเมตร นวัตกรรมนี้ช่วยเพิ่มสมรรถภาพการประมวลผลและลดค่าใช้จ่ายในการเช่าซื้อระบบเส้นใยแก้วนำแสง ข้อแตกต่างอีกประการของโซลูชันนี้คือระบบปฏิบัติการและซ่อมบำรุงอัจฉริยะที่ครอบคลุมทั้งเครือข่าย ซึ่งมีการตรวจจับข้อผิดพลาดและรักษาตัวเองได้ในไม่กี่นาที ทำให้เป็นบริการที่ดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- HiSec ให้บริการคุ้มครองความปลอดภัยแบบครบวงจรสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์ขององค์กร: การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคลาวด์ช่วยขยายพรมแดนขององค์กรแบบดั้งเดิมอย่างมาก จึงถือเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับการคุ้มครองความปลอดภัยแบบจุดเดียวแบบดั้งเดิม โซลูชัน HiSec ของ Huawei แก้ปัญหาความท้าทายนี้ด้วยการให้บริการการคุ้มครองความปลอดภัยตั้งแต่ในการเข้าถึงคลาวด์ ไปจนถึงการเชื่อมต่อคลาวด์และการเชื่อมต่อภายในเครือข่ายคลาวด์เดียวกัน ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างครอบคลุมระหว่างคลาวด์ เครือข่าย ความปลอดภัย และอุปกรณ์ นอกจากนั้น โซลูชัน HiSec ของ Huawei ยังให้บริการแพ็คเกจการคุ้มครองสำหรับองค์กรด้วยบริการคลาวด์อีกด้วย
Intelligent Cloud-Network Solution ของ Huawei ให้บริการชุดสมรรถนะ cloud-network ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งช่วยตอบสนองความต้องการในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมของเครือข่ายจากความต้องการบริการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไปจนถึงนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วยการมองไปยังอนาคต Huawei จะทำงานร่วมกับลูกค้าและคู่ค้ามากขึ้นเพื่อให้บริการในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่รัฐบาลดิจิทัลไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ และตั้งแต่ระบบอัตโนมัติเชิงอุตสาหกรรมไปจนถึงระบบบริการสุขภาพทางไกลอัจฉริยะ ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของทุกอุตสาหกรรม
รูปภาพ – https://mma.prnewswire.com/media/1486723/1.jpg
คำบรรยายภาพ – Steven Zhao รองประธานฝ่าย Data Communication Product Line ของ Huawei กล่าวการบรรยายหลักในหัวข้อ “Go Digital Faster with the Intelligent Cloud-Network”